Saturday, December 1, 2012

ยิงลูกชาย ยอดนักบิดแชมป์ประเทศไทยเจ็บสาหัส

ยิงลูกชาย ยอดนักบิดแชมป์ประเทศไทยเจ็บสาหัส
คนร้ายใช้ปืนลูกซอง ยิงโจ๋ลูกชาย ธีระ ศรีกสิกิจ สิงห์ยอดนักบิดแชมป์ประเทศไทย สาหัส ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกันดับอนาถ...วันนี้ (2 ธ.ค.55) เวลา 03.30 น. ร.ต.ต.ธานินทร์ สุขเทศ ร้อยเวรสอบสวน สภ.เมืองปราจีนบุรี ได้รับแจ้งเหตุวัยรุ่นไล่ยิงกันกลางเมืองปราจีนบุรี มีผู้เสียชีวิต 1 รายและบาดเจ็บ 1 ราย หลังรับแจ้ง จึงรีบรุดเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ยิ่งยศ อินทรบุหรั่น ผกก. สภ.เมืองปราจีนบุรี ที่เกิดเหตุบริเวณหน้าร้านจิวง่วนฮะ เลขที่ 269 ร้านขายวัสดุก่อสร้าง ถนนปราจีนตคาม ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองปราจีนบุรี พบรถจักรยานยนต์แบบหญิง ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีแดงขาว ทะเบียน กธข 867 นครนายก จอดอยู่บริเวณหน้าร้าน โดยจากการตรวจสภาพรถ พบกระสุนปืนที่บังโคนหน้าและตัวถังจำนวน 2 รู ส่วนที่ตะกร้าหน้ารถพบอาวุธปืนขนาด .38 มม. จำนวน 1 กระบอก และจากการตรวจสอบพบว่าในลูกโม่มีกระสุนปืนถูกสับลั่นไกยิงไปแล้ว 3 นัด ส่วนอีก 3 นัด ลูกปืนด้านใกล้กันพบศพนายกิตติศักด์ ทับศรี อายุ 19 ปี บ้านเลขที่ 1 หมู่ที่ 5 ตำบลดงพระราม อำเภอเมืองปราจีนบุรี นอนตะแคง เสียชีวิตอยู่กับพื้นติดประตูทางเข้าร้านขายวัสดุ ในมือข้างขวากำอาวุธปืนซุปเปอร์ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบพบว่า อาวุธปืนดังกล่าวถูกใช้ยิงจนหมดแม็กกาซีน และโทรศัพท์มือถือตกอยู่ใกล้ศพ 1 เครื่อง ขณะที่เมื่อตรวจสอบสภาพศพ พบว่าถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าที่บริเวณหน้าผาก ตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 2 ปลอก และหมอนรองกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 หมอน กระจายอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุ ส่วนถนนฝั่งตรงข้ามพบปลอกกระสุนปืนเบอร์ 12 จำนวน 2 ปลอกนอกจากนั้นในที่เกิดเหตุทางพนักงานสอบสวนทราบว่า มีผู้บาดเจ็บถูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทางเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้นำส่งโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเดินทางไปตรวจสอบ ทราบชื่อผู้ได้รับบาดเจ็บ คือ นายจิระภาส ศรีกสิกิจ อายุ 16 ปี บ้านเลขที่ 6/1 หมู่ 4 ตำบลดงพระราม อำเภอเมืองปราจีนบุรี ซึ่งเป็นบุตรชายของนายธีระ ศรีกสิกิจ สิงห์ยอดนักบิดแชมป์ประเทศไทย ถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าที่บริเวณต้นแขนซ้ายและขวา และกระสุนปืนทะลุปอด ซึ่งทางแพทย์ให้การรักษาพยาบาลจนพ้นขีดอันตราย จากการสอบสวนในเบื้องต้นทราบว่า เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา มีเพื่อนของผู้เสียชีวิตขับรถจักรยานยนต์ไปรับที่บ้าน เพื่อชักชวนให้เข้าไปเที่ยวในเมือง จากนั้นผู้ตายและพรรคพวกก็ได้เข้าไปดื่มสุรากันที่ร้านริน หน้าสถานีขนส่งจังหวัดปราจีนบุรีอย่างไรก็ดีระหว่างที่กลุ่มของผู้ตายกำลังดื่มกินกันอยู่นั้น ได้เห็นรถของคู่อริ ซึ่งเป็นรถยนต์กระบะอีซูซุ ดีแม็กซ์สีดำ และรถยนต์เก๋งนิสสันสีขาว ขับผ่านมา ทั้งสองจึงได้ขับรถจักรยานยนต์คันที่พบในที่เกิดเหตุ ออกไล่ยิงจากบริเวณหน้าร้านเซเว่นปากทางเข้าสถานีขนส่งจังหวัดปราจีนบุรีไปจนถึงหน้าร้านขายวัสดุก่อสร้างจนกระสุนปืนหมด รถของคนร้ายที่ถูกไล่ยิงเห็นได้ที จึงได้ขับรถเลี้ยวบริเวณสี่แยกไฟแดง กลับมายิงฝั่งตรงข้ามตอบโต้ จนเป็นเหตุให้นายกิตติศักด์เสียชีวิต และนายจิระภาส ศรีกสิกิจ ได้รับบาดเจ็บ ส่วนสาเหตุที่แน่ชัดเจ้าหน้าที่ตำรวจจะรอสอบปากคำผู้ได้รับบาดเจ็บ และผู้เห็นเหตุการณ์ต่อไป 

แผ่นดินไหวเชียงใหม่ เกิดกลางดึก 2.8 ริกเตอร์

แผ่นดินไหวเชียงใหม่ เกิดกลางดึก 2.8 ริกเตอร์
เกิดแผ่นดินไหวขนาด 2.8 ริกเตอร์ จุดศูนย์กลางอยู่ใน อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหาย จนท.เร่งตรวจสอบอย่างละเอียด...เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. มีรายงานว่า สำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา ตรวจพบเมื่อเวลาประมาณ 03.21 น. วันที่ 2 ธ.ค.2555 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 2.8 ริกเตอร์ จุดศูนย์กลางอยู่ใน อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ เบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหาย เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการตรวจสอบอย่างละเอียด

โพลชี้ความจงรักภักดี-เป็นหนึ่งเดียว ทำความสุขมวลรวมคนไทยพุ่งสูงสุด

โพลชี้ความจงรักภักดี-เป็นหนึ่งเดียว ทำความสุขมวลรวมคนไทยพุ่งสูงสุด
เอเบคโพลล์ชี้ ความสุขมวลรวมคนไทยเพิ่มสูงสุดอย่างมีนัย อยู่ที่ 9.17 จากคะแนนเต็ม 10 อยู่ที่ความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติ และความจงรักภักดีเนื่องจากความสุขของประชาชนในแต่ละสังคมขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน ความสุขของประชาชนบางประเทศขึ้นอยู่กับวัตถุนิยม ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ในขณะที่ความสุขของประชาชนในบางประเทศขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมจารีตประเพณีอันดีงามเป็นสำคัญ สำหรับสิ่งที่ทำให้ประชาชนคนไทยมีความสุขมีเอกลักษณ์เฉพาะของประเทศไทยมีอยู่หลายประการ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จึงได้ทำการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสุขประเทศไทยกับความสำนึกรู้คุณแผ่นดิน ประจำเดือนพฤศจิกายน 2555 กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนในพื้นที่ 18 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ราชบุรี อยุธยา สุพรรณบุรี ชลบุรี เชียงใหม่ แพร่ นครสวรรค์ ขอนแก่น หนองคาย มหาสารคาม สุรินทร์ อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา นครศรีธรรมราช และยะลา จำนวนทั้งสิ้น 3,169 ตัวอย่าง โดยดำเนินการสำรวจในระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน–1 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น ที่สุ่มเลือกเขต/อำเภอ ตำบล ชุมชน ครัวเรือน และประชาชนที่ตอบแบบสอบถามระดับครัวเรือน โดยมีความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7  จากการวัดความสุขมวลรวมของประชาชนคนไทยภายในประเทศ ประจำเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เมื่อคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 5.79 คะแนน ในเดือนกันยายน มาอยู่ที่ 7.40 และ 7.53 คะแนน ในการสำรวจครั้งล่าสุด ซึ่งเป็นระดับความสุขที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และมีค่าความสุขเกินกว่าครึ่งในทุกตัวชี้วัด โดยค่าสูงสุดอยู่ที่การเห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติแสดงความจงรักภักดีอยู่ที่ 9.17 คะแนน รองลงมาคือ บรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอยู่ที่ 7.72 และสุขภาพใจอยู่ที่ 7.58 นอกจากนี้ ความสุขของประชาชนคนไทยเพิ่มสูงขึ้นจากเดือนตุลาคมเกือบทุกตัวชี้วัดที่น่าสนใจคือ ภาพลักษณ์ของประเทศไทย คนไทย เด็กไทยในสายตาต่างชาติที่เพิ่มขึ้นจาก 6.03 คะแนน มาอยู่ที่ 6.51 คะแนน เป็นผลมาจากการมาเยือนประเทศไทยของบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายเหวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีของประเทศจีน การชุมนุมทางการเมืองที่ไม่ลุกลามรุนแรงบานปลาย และภาพลักษณ์ดั้งเดิมของประเทศไทยที่ดีอยู่แล้วในสายตาของชาวต่างชาติในเรื่องการดูแลความปลอดภัย การเก็บทรัพย์สินได้แล้วส่งคืนชาวต่างชาติ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่รัฐบางพื้นที่ต่อปัญหาอาชญากรรมและการไม่มีน้ำใจของคนไทยบางคนต่อชาวต่างชาติยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยยิ่งไปกว่านั้น ความสุขของประชาชนต่อตัวชี้วัดทั้งเศรษฐกิจระดับครัวเรือนและเศรษฐกิจระดับประเทศเริ่มเพิ่มสูงขึ้นจาก 5.98 มาอยู่ที่ 6.21 และจาก 5.73 มาอยู่ที่ 5.94 ตามลำดับ เป็นผลมาจากโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีของประเทศไทยและนโยบายสาธารณะของรัฐบาลในเรื่องการเพิ่มรายได้ที่กลายเป็นความหวังทางจิตวิทยาและกระตุ้นพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน เช่น นโยบายค่าแรง 300 บาท นโยบายเงินเดือน 15,000 บาท รถยนต์คันแรก บ้านหลังแรก และนโยบายจำนำข้าว เป็นต้น ในขณะที่นโยบายเดิมของรัฐบาลที่เคยทำมาในการส่งเสริมอาชีพระดับตำบล เช่น สินค้าโอทอป เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ปัญหาค่าครองชีพ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและการไม่รู้จักกินไม่รู้จักใช้อย่างประหยัดของประชาชนเองยังคงเป็นตัวบั่นทอนความสุขของคนไทยดร.นพดล กล่าวว่า ที่น่าเป็นห่วงคือ ความสุขที่ลดลงของประชาชน ได้แก่ ความสุขต่อบรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในชุมชนลดลงจาก 7.03 มาอยู่ที่ 6.52 ความสุขต่อคุณภาพนักการเมืองและจริยธรรมของนักการเมืองลดลงจาก 5.24 มาอยู่ที่ 5.05 และความสุขต่อสถานการณ์ทางการเมืองโดยรวมลดลงจาก 5.17 มาอยู่ที่ 5.04 ตามลำดับ เป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการเมือง ความแตกต่างทางความคิดทางการเมืองที่ชาวบ้านเล็งเห็นว่าอาจนำไปสู่ความรุนแรงบานปลาย และปัญหาคุณธรรมจริยธรรมทางการเมืองของนักการเมืองเป็นสำคัญนอกจากนี้ ตัวชี้วัดอีกประการหนึ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ความสุขต่อคุณภาพโรงเรียนใกล้บ้านของผู้ตอบแบบสอบถามลดลงจาก 6.64 มาอยู่ที่ 6.23 เป็นผลมาจากปัญหาพื้นฐานที่สะสมมาเป็นเวลาช้านานในระบบการศึกษาไทยในหลายมิติ เช่น คุณภาพการบริหารจัดการด้านการศึกษา ปัญหาการกีดกันหรือการปิดกั้นโอกาสของเด็กและเยาวชนที่อยู่ใกล้โรงเรียนที่มีคุณภาพแต่ไม่มีโอกาสเข้าเรียน ปัญหาการเลือกปฏิบัติในชั้นเรียน ปัญหาคุณภาพการเรียนการสอน ปัญหาการใช้ความรุนแรงของทั้งครูและนักเรียน และคุณธรรมจริยธรรมของคุณครูที่มีไม่มากเพียงพอในการเป็นแบบอย่างที่ดีต่อเด็กนักเรียน เป็นต้นอย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจคือ ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทั้งกลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาล กลุ่มคนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล และกลุ่มพลังเงียบ ต่างก็มีความสุขที่เห็นคนไทยเป็นหนึ่งเดียวกันในการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ คือ 9.16 คะแนนในกลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาล 9.15 คะแนนในกลุ่มคนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาล และ 9.18 คะแนนในกลุ่มพลังเงียบ ตามลำดับ และเมื่อศึกษาเจาะลึกกลุ่มประชาชนที่ถูกศึกษาพบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ว่าสีใดก็ตามสามารถแยกแยะความจงรักภักดีออกได้จากอุดมการณ์ทางการเมือง และต้องการให้การเมืองเป็นเรื่องของการเมือง ส่วนความจงรักภักดีเป็นสิ่งที่ “คนไทย” ทุกคนตระหนักดี จึงอย่าดึงสถาบันหลักของชาติลงมาสู่ความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ผลสำรวจยังค้นพบ 5 อันดับแรกของรูปแบบสำนึกรู้คุณแผ่นดินที่ประชาชนตั้งใจจะทำเพื่อในหลวง (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) พบว่า ร้อยละ 94.8 ตั้งใจจะแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ร้อยละ 90.5 ตั้งใจจะประหยัด ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ร้อยละ 77.8 ตั้งใจจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีไมตรีจิตต่อกัน ร้อยละ 68.9 ตั้งใจจะทำหน้าที่พลเมืองที่ดี และร้อยละ 65.3 ตั้งใจจะสำนึกถึงความเสียสละเลือดเนื้อของบรรพบุรุษเพื่อประเทศชาตินอกจากนี้ เมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างถึงเดือนแห่งความสุขที่ประชาชนรอคอย พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 41.3 ระบุเดือนธันวาคมหรือธันวามหาราช รองลงมาหรือร้อยละ 20.4 ระบุเดือนมกราคม ร้อยละ 19.1 ระบุเดือนเมษายน ร้อยละ 10.6 ระบุเดือนกุมภาพันธ์ และร้อยละ 8.6 ระบุเดือนอื่นๆ อาทิ เดือนสิงหาคม ตุลาคม และพฤษภาคม เป็นต้นผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า คนไทยกำลังเข้าสู่โหมดแห่งความสุขที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปตลอดเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองความสุขประเทศไทยในเดือนธันวามหาราชและปีใหม่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของประชาชนคนไทยภายในประเทศ จนกล่าวได้ว่านี่คือ DNA ของความเป็นไทยที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ความกตัญญูต่อแผ่นดินที่ต้องช่วยกันปกปักรักษาไม่ยอมให้ใครมาดัดแปลงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยได้ “จากการวิจัยที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่า สังคมไทยและประชาชนแต่ละคนจะอยู่รอดได้อย่างมีความสุขทุกสถานการณ์ ถ้าทุกคนสำนึกกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน ทำตามหน้าที่พลเมืองที่ดี ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงอย่างแท้จริง ลดอคติที่มีต่อกัน และตระหนักว่าผลประโยชน์ของแต่ละคนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่าคือ “ประเทศชาติต้องมาก่อนชุมชนหรือองค์กรของตนและผลประโยชน์ส่วนตัว”ดังนั้น การมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของทุกคนในชาติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยความรักความสามัคคี มีไมตรีจิตต่อกัน และยอมรับว่าทุกคนมีความผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้นเพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไขความผิดพลาดบนพื้นฐานของความถูกต้องตามหลักธรรม หลักกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อ “ไม่” ให้คนอื่นๆ ทำผิดตามกันอย่างกว้างขวาง ผลที่ตามมาก็คือ ความสุขประเทศไทยจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและมั่นคงยั่งยืน” ดร.นพดล กรรณิกา กล่าว

Blog Archive