Wednesday, January 30, 2013

มาร์คยันสุเทพพร้อมแจงปมประมูลโรงพัก

มาร์คยันสุเทพพร้อมแจงปมประมูลโรงพัก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พร้อมชี้แจงปมประมูงสร้างโรงพักฉาว ให้เจ้าตัวตัดสินใจจะฟ้องกลับดีเอส อีกหรือไม่ ชี้รวบ กำนันเป๊าะ ตัวอย่างการบังคับใช้กฎหมาย... นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจกองปราบปราม สามารถจับกุมตัว นายสมชาย คุณปลื้ม หรือ กำนันเป๊าะ ที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ว่า เป็นตัวอย่างที่ดีในการบังคับใช้กฎหมาย และเป็นตัวอย่างสำหรับการดำเนินคดีกับบุคคลอื่น ที่ถูกตัดสินแล้ว รวมถึงกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย ถือเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่จะทำให้สังคมยอมรับว่าประเทศไทย พยายามบังคับใช้กฎหมายจริงจัง เจ้าหน้าที่จึงมีหน้าที่ ต้องดำเนินการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เคยระบุว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกลับมาจะไปรับด้วยตัวเอง จะเป็นสัญญาณว่ากฎหมาย จะไม่ถูกบังคับใช้หรือไม่นั้น ว่า ส่วนตัวเห็นว่า หากไปรับเพื่อนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปส่งคุก ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะสิ่งแรกที่ต้องทำหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไทยคือ การไปรับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาก่อน และจะเป็นจุดเริ่มต้นว่าทุกฝ่ายยอมรับกฎหมาย ส่วนหลังจากนั้นจะมีกระบวนการอะไรตามกฎหมายก็ว่ากันไป“มาร์ค” ยัน “เทือก” พร้อมแจงกรณีโรงพักตอม่อผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะดำเนินคดีกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ เกี่ยวกับการก่อสร้างโรงพักทั่วประเทศ ว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริง ซึ่งได้สอบถามนายสุเทพ ก็ยืนยันว่าพร้อมที่จะชี้แจงทุกอย่าง และในวันนี้ก็มีการถามกระทู้ของรัฐบาลในสภาฯ ด้วย ส่วนนายสุเทพ จะมีการฟ้องกลับดีเอสไอเหมือนกับที่ได้ฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ อธิบดีดีเอสไอและพวกไปก่อนหน้านี้ ในคดีที่ตั้งข้อหาตนและนายสุเทพว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลหรือไม่นั้น คงต้องถามนายสุเทพว่าจะตัดสินใจอย่างไร เพราะอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริง สำหรับความล่าช้าในการก่อสร้างโรงพัก ที่หยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นนั้น ตนเห็นว่า ก่อนหน้านี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้เคยอภิปรายในสภาฯ และปัญหาก็อยู่ในมือของรัฐบาลชุดนี้ มานานถึงเกือบหนึ่งปีครึ่งแล้ว จึงไม่ทราบว่า เรื่องที่ร้องเรียนมามีปัญหาตรงไหน อย่างไร แต่นายสุเทพยืนยันว่า พร้อมพิสูจน์ความจริงทุกอย่าง และได้สอบถามผู้ปฏิบัติเกี่ยวการกล่าวหาว่ามีการรวมศูนย์อำนาจมาไว้ที่รองนายกรัฐมนตรีนั้นก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องปกติห่วงทุนนอกไหลเข้า ทำเกิดฟองสบู่ เตือนรัฐอย่าแทรกแซง ธปท. พร้อมกันนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องว่า ทางการต้องดูไม่ให้เกิดความผันผวนมากจนเกินไป พร้อมดูแลเงินต่างประเทศที่ไหลเข้ามา ต้องดูแลไม่ให้เกิดฟองสบู่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องมีมาตรการในการดูแล ส่วนความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่าง นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธาน ธปท. กับนายประสาน ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. เกี่ยวกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่นายวีรพงษ์เห็นว่า ควรกดดอกเบี้ยลงต่ำเพื่อป้องกันเงินทุนไหลเข้า แต่นายประสาน มองว่า ไม่ใช่แนวทางในการแก้ปัญหานั้น ส่วนตัวเห็นว่าเป็นเรื่องของคณะกรรมการนโยบายการเงินที่จะต้องพิจารณา ที่มีหลักเกณฑ์โดยยึดเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นหลักอยู่แล้ว ทั้งนี้ ยังเห็นว่าการจะใช้เรื่องดอกเบี้ย มาแก้ปัญหาต้องมองอย่างสมดุลด้วย คือ ถ้าเห็นว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะต้องลดแรงกดดันเงินเฟ้อ ก็ต้องขยับอัตราดอกเบี้ยขึ้น แต่การขยับขึ้นจะมีผลต่อเรื่องเงินทุนไหลเข้า เพราะฉะนั้น ก็ต้องดูให้เกิดความพอดี โดยอย่าให้เป็นเรื่องการเมือง ขอให้เป็นเรื่องทางเทคนิคว่าจะควบคุมเงินเฟ้อ กับการไหลเข้าของเงินต่างประเทศอย่างไร แต่ต้องไม่ใช่ทำเพื่อหวังประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปใช้ในทางการเมือง ส่วนความกังวลเกี่ยวกับการเก็งกำไรค่าเงินบาทนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลไทยไม่ได้กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่ตายตัว ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ควรเอาตัวเองไปอยู่ในสถานะที่เหมือนกับต้องไปต่อสู้กับใคร โดยเห็นว่าหากรัฐบาลดูแลเงินทุน ที่เข้ามาไม่ให้เป็นฟองสบู่ได้ก็จะไม่เกิดปัญหากับเศรษฐกิจไทย และมีความเชื่อมั่นในบุคลากรของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการดูแลโดยการเมืองอย่าเข้าไปแทรกแซง และธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีกฎหมายคุ้มครองอยู่.

มาร์คยันนิรโทษกรรมต้องไม่เกี่ยวคดีอาญาและการทุจริต

มาร์คยันนิรโทษกรรมต้องไม่เกี่ยวคดีอาญาและการทุจริต
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วอนนายกรัฐมนตรีสานต่อเป็นเจ้าภาพจัดเวิลด์ เอ็กซ์โปร 2020 ยืนยันประเทศได้ประโยชน์ ฝ่ายค้านหนุนเต็มที่ พร้อมแจงที่มาข่าว ซูเอี๋ย ล้มคดีฟ้องหมิ่น จตุพร ขณะกรณีนิรโทษกรรม พรรคประชาธิปัตย์ยันต้องไม่เกี่ยวคดีอาญาและการทุจริต...วันที่ 31 ม.ค. ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวหลังจากที่คณะทำงานคัดเลือกประเทศเป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์ เอ็กซ์โปร เข้าพบว่า อยากให้รัฐบาลนี้สานต่อสิ่งที่รัฐบาลชุดที่แล้วได้เสนอตัวให้ไทยเป็นเจ้าภาพงานนี้ ซึ่งจะมีขึ้นในปี 2563 เพราะเป็นโอกาสของประเทศ ซึ่งฝ่ายค้านยืนยันสนับสนุนเต็มที่ โดยได้ย้ำจุดแข็งของประเทศเราเรื่องการท่องเที่ยว และพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ก็มีความหมายทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังสอดคล้องกับแนวคิดในการกระจายเมืองออกไปด้วย และยังมีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่เหมาะสมกับชาวโลกและชาวไทย ให้ยึดแนวทางปรัชญาพอเพียง จึงอยากให้รัฐบาลมีทีมทำงานเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ ไม่ควรปล่อยให้หน่วยงานเดียวทำ จากนี้ไปผู้นำหรือรัฐมนตรี ไปประเทศไหนก็ต้องหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาขอความสนับสนุน หรือเดินสายขอคะแนน แต่ถ้ารัฐบาลไม่เดินหน้า ประเทศก็จะเสียโอกาส เพราะเป็นงานใหญ่ระดับต้นๆ ของโลกเมื่อถามว่า มีข่าวทำนองว่ารัฐบาลไทยอาจจะตัดสินใจไม่แข่งขันเต็มที่เพื่อเปิดทางให้ดูไบ ได้รับการคัดเลือกเป็นเจ้าภาพจัดแทน เพราะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำดูไบ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็เป็นห่วงเช่นกัน นายกฯ ต้องรีบยืนยันที่จะเดินหน้าและเป็นผู้นำในการมอบหมายให้รองนายกฯ หรือรัฐมนตรี ระดมหน่วยงานหารือกันเพื่อหาเสียงทั่วโลก อย่าไปคิดว่างานนี้เป็นของรัฐบาลประชาธิปัตย์เริ่มต้นไว้ เพราะหากจะได้จัดจริงก็ต้องรอเวลาอีก 7 ปีข้างหน้า ซึ่งในวันนั้นก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีนอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า จะไกลเกลี่ยกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. หลังจากที่ดำเนินการฟ้องร้องนายจตุพรฐานหมิ่นประมาท โดยระบุว่า กรณีนี้ตนได้ฟ้องนายจตุพรในข้อหาหมิ่นประมาทเป็นคดีที่ 4 และตัดสินไปแล้ว 3 คดีโดยมีการสืบพยานโจทก์ไปแล้ว ซึ่งสัปดาห์ที่แล้วศาลได้นัดสืบพยานฝ่ายของนายจตุพรในฐานะจำเลย และตนก็จะไม่ได้ไป โดยศาลได้ยกประเด็นการไกล่เกลี่ยขึ้นมาว่าเป็นนโยบายของศาล ตนก็บอกทนายความไปว่า จำเลยต้องยอมรับว่าสิ่งที่พูดกล่าวหาหมิ่นประมาทตนทั้งหมดเป็นเท็จ และต้องประกาศข้อเท็จจริงในหน้าหนังสือพิมพ์ พร้อมเงื่อนไขว่าจะไม่มีการทำเช่นอีก เพราะจะไปบอกว่าไม่ร่วมมือกับศาลไม่ได้ ในส่วนของนายจตุพรก็เข้าใจว่า มาเสนอว่าจะขอถอนคำพูดในทำนองนั้น ปรากฏว่าศาลได้สั่งว่า ขอให้ตนไปด้วยตัวเองในการนัดสืบพยานครั้งต่อไปในเดือน มี.ค .ฉะนั้น เมื่อตนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก็ต้องปฏิบัติ แต่ยังไม่มีการตกลง เพราะเป็นสิทธิ์ของตน สุดท้ายว่าจะตัดสินใจอย่างไร แต่ยืนยันว่าจะให้เปลี่ยนจุดยืนนั้น ไม่มีแน่ จะให้ไปซูเอี๋ยทำไม ยืนยันว่าขณะนี้มันยังไม่มีการตกลงส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยยื่นเรื่องให้ประธานสภาส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของนายอภิสิทธิ์นั้น นายอภิสิทธ์ กล่าวว่า ขอยืนยันว่า คำสั่งที่อ้างว่าตนขาดคุณสมบัตินั้น เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบโดยกฎหมาย และตนได้ฟ้องศาลปกครองไปแล้ว ฉะนั้น เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องไปจบที่ศาลอยู่แล้ว ทั้งศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และตนก็ไม่ได้กังวลใดๆ ในเรื่องนี้ ให้เป็นไปตามกระบวนการพร้อมกันนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า ได้เสนอเป็นรูปธรรมไปนานแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์พร้อมสนับสนุนให้มีการนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ที่กระทำความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่รวมกับผู้ที่ทำผิดคดีอาญาและคดีทุจริต ที่สำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะเข้าเป็นแม่งานในเรื่องนี้ แต่อยู่ที่ความจริงใจว่า จะเอาจุดร่วมที่เป็นจุดเริ่มต้นของความปรองดองมาใช้หรือไม่ ถ้ายึดผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่มก็ไม่จบ เพราะหากรัฐบาลยังมีแนวคิดว่าการปรองดองจะเริ่มต้นได้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องพ้นผิดด้วย ก็จะทำให้เริ่มต้นไม่ได้ จึงเห็นว่าควรจะช่วยกันหาทางออกให้กับจุดที่ทุกฝ่ายยอมรับกันได้ คือ รัฐบาลถอนกฎหมายปรองดอง 4 ฉบับ ที่ค้างอยู่ในสภาฯ ออกไป จากนั้นมาหารือกันจะให้สภาฯ หรือใครเป็นเจ้าภาพ และกำหนดให้ชัดว่า จะนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินเท่านั้น แต่รัฐบาลก็ยังไม่มีสัญญาณตอบรับในเรื่องนี้ จึงขึ้นอยู่กับว่านายกรัฐมนตรีจะเห็นแก่ชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดีในเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือยังเห็นแก่พี่ชาย เพราะถ้าเห็นแก่ชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดี หรือผู้ชุมนุมในกรณีฝ่าฝืนการห้าม ชุมนุมก็มาแก้ตรงนี้ทุกอย่างก็จบ.

คุก10ปี ตร.สภ.คูคต พกเอ็ม79 ฝ่าด่านตรวจช่วงแดงชุมนุม

คุก10ปี ตร.สภ.คูคต พกเอ็ม79 ฝ่าด่านตรวจช่วงแดงชุมนุม
ศาลพิพากษาจำคุก จ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ ตำรวจ สภ.คูคต จ.ปทุมธานี พกระเบิด เอ็ม 79 ฝ่าด่านตรวจทหาร ช่วง นปช.ชุมนุมปี 2553... วันนี้ (31 ม.ค.56) ที่ห้องพิจารณา 901 ศาลอาญา เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาคดี ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ฟ้อง จ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ อายุ 40 ปี อดีต ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สภ.คูคต จ.ปทุมธานี เป็นจำเลย ในความผิดฐาน มีกระสุน เครื่องกระสุน และอาวุธสงครามที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 55 และ 78 โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย.53 จำเลยมีลูกระเบิดยิงขนาด 40 มม.แบบเอ็ม 79 ชนิดระเบิดเจาะเกราะ และชนวนแบบเอ็ม 403 สภาพพร้อมใช้งานรวม 62 นัด แรงระเบิดมีอานุภาพสังหารชีวิต มนุษย์ สัตว์ และทำลายทรัพย์สินเสียหายในรัศมีฉกรรจ์ 5 เมตร ไว้เพื่อจำหน่ายราคาลูกละ 1,200 บาท อันเป็นความผิดตามกฎหมาย ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 11 พ.ศ.2522 ลงวันที่ 1 ก.ค.22 และออกตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 เหตุเกิดที่แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กทม. จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทหาร 3 นาย ที่ตั้งด่านตรวจความมั่นคง บริเวณ ถ.วิภาวดีรังสิต เบิกความสอดคล้องกันว่า ขณะนั้นมีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อตั้งด่านพบชายขี่รถ จยย.ฮอนด้า เวฟ สีแดง-ดำ ทะเบียน พงน 68 กรุงเทพมหานคร สวมหมวกกันน็อกสีเทาแบบครึ่งศีรษะ และเปิดกระจกหน้า จึงเรียกให้หยุด พบมีหมวกกันน็อกสีแดงวางที่ตะกร้าหน้ารถ และมีกล่องที่ปิดมิดชิดห่อด้วยพลาสติกสีดำอยู่เบาะด้านหลังโดยมีสายรัดไว้แน่นหนา เมื่อเรียก ชายดังกล่าวหยุดแต่ไม่ดับเครื่องยนต์ พยานคนหนึ่งจึงยืนคร่อมหน้ารถ ส่วนอีกคนยืนประกบท้ายรถไว้ และเมื่อจะให้รถมาชิดฟุตปาท คนขี่อาศัยจังหวะนั้นขี่รถหลบหนีด้วยความรวดเร็ว พยานที่เป็นตำรวจ 2 นายจึงขี่รถ จยย.ไล่จับกุม คนร้ายขี่หลบหนีเข้าซอยวิภาวดี 1 ไป โดยระหว่างที่ขี่รถหลบหนีนั้น เจ้าหน้าที่ทหารที่วิ่งไล่ตามพบกระเป๋าเงินสีดำ และกล่องสีดำที่มัดอยู่ท้ายรถคนร้ายตกอยู่ เมื่อเปิดดูพบบัตรข้าราชการตำรวจ บัตรประชาชน และบัตรชมรมยิงปืนระบุชื่อจำเลย พยานจึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาและรายงาน ศอฉ. ส่วนกล่องดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่กรมสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเครื่องกระสุน และลูกระเบิดของกลาง ภายหลังเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมจำเลยได้ พยานทั้ง 3 ปาก ได้ชี้ตัวยืนยันการจับกุม เห็นว่าพยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ปราศจากข้อระแวงสงสัยว่าจะให้การปรักปรำจำเลย จึงเชื่อว่าพยานเบิกความตามที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ยังมีผลการตรวจดีเอ็นเอ ที่ได้จากหมวกกันน็อกที่ยืนยันว่าเป็นของจำเลยอีกด้วย พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานครอบครองเครื่องกระสุนปืน ที่นายทะเบียนไม่อนุญาต ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ ม.55 และ ม.78 วรรค 1 ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 10 ปี

Blog Archive