แค่ขับรถปาด...สังเวยชีวิต'ฟารุต' อุทาหรณ์คนมีปืน แต่ไม่มีสติ
หลัง เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มุ่งประเด็นสังหารไปที่ความขัดแย้งทางการเมือง เป้าสังหารอยู่ที่ตัวนายชาดาซึ่งอยู่บนรถยนต์อีกคัน แล้วลูกชายรับเคราะห์แทน และทะเลาะวิวาทกับวัยรุ่นท้องถิ่น แต่หลังจากตรวจสอบที่เกิดเหตุและพยานแวดล้อมแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ได้ให้น้ำหนักไปที่เหตุซึ่งหน้า เปิดไฟสูงใส่กันแล้วขับรถแซงปาดหน้าสลับกันไปมาจนเกิดการดวลปืนกันขึ้น โดยตำรวจพบกระสุนปืนในรถยนต์โตโยต้าแลนด์ครุยเซอร์ รุ่นพราโด้ สีดำ ทะเบียนป้ายแดง อ-5726 ของผู้เสียชีวิต และนอกรถรวม 11 ปลอก ข้างทางอีก 2 ปลอก รวมทั้งหมด 13 ปลอก
การสืบสวนเป็นไปอย่างยากลำบาก เมื่อเจ้าหน้าที่พบแต่เพียงรถยนต์ที่มีร่องรอยกระสุนปืน และปลอกกระสุน แต่ไม่ได้ตรวจสอบศพของนายฟารุตตามขั้นตอน เพราะทางผู้เสียหายได้นำไปประกอบพิธีทางศาสนาไปก่อน สถานที่เกิดเหตุเปลี่ยวและห่างไกลผู้คน
ขณะที่เจ้าหน้าที่เริ่มมืดมน ทว่าจู่ๆ ในช่วงเย็นวันที่ 30 ส.ค. นายมั่น พูนทรัพย์ อายุ 41 ปี ชาว จ.ราชบุรี วิศวกรรับเหมาโครงการก่อสร้างหมู่บ้านทอสคานา ใน อ.ปากช่อง ก็ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สารภาพว่าเป็นผู้ยิงนายฟารุตเสียชีวิต โดยอ้างว่าวันเกิดเหตุขณะขับรถยนต์กระบะโตโยต้า วีโก้ กลับที่พักในพื้นที่ ต.หมูสี และเกิดปาดหน้าขบวนรถของนายชาดา และนายฟารุตที่ขับผ่านมาพอดีโดยไม่ได้ตั้งใจ มีการเปิดไฟใส่กันและขับปาดหน้ากันไปมา กระทั่งมีการสาดกระสุนปืนเข้าใส่กัน
"ไม่เคยรู้ว่าผู้ตายเป็นใครและไม่มีเรื่องโกรธแค้นกันมาก่อน มีเพียงโมโหที่ถูกรถคู่กรณีปาดหน้ากะทันหันและเปิดไฟสปอตไลท์ใส่หน้าเท่า นั้น และยืนยันว่าการที่ขับรถตามปาดคืนไม่ได้ตามไปยิง แต่ถูกคนในรถผู้ตายยิงใส่ก่อน เลยต้องยิงสู้และไม่คิดว่าจะมีคนตาย" วิศวกรให้การ
ลองคิดในอีกมุม ความสูญเสียแบบนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ หากทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีอาวุธปืนในครอบครอง ซึ่งฝ่ายของนายมั่น รับว่าได้ปืนมาในราคาแค่ 1,500 บาท เรียนภาษาอังกฤษ อ้างว่ามีคนรู้จักนำมาจำนำไว้
เงินแค่พันกว่าบาทก็หาปืนมาสังหารคนได้แล้ว! มันคือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าสังคมไทย เป็นสังคมที่อันตรายไม่แพ้ชาติใดในโลก ลองมโนภาพนึกดูหากทุกคนบนท้องถนนพกปืนทั้งถูกกฎหมายและเถื่อนกันทุกคน จะมีกี่ชี่วิตต้องสังเวย ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นหลายเหตุการณ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหตุนักเรียนทะเลาะวิวาท ยิงคนบริสุทธิ์ตายมาแล้วมากมาย ทั้งบนท้องถนน บนรถโดยสารประจำทาง เหล่านี้เราได้เห็นบนหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำ จนแทบจะชาชินไปแล้ว