Saturday, February 23, 2013

43.45 % เชื่อรัฐพอรับมือไฟดับได้ หวั่นพลังงานในอนาคตไม่พอ

43.45 % เชื่อรัฐพอรับมือไฟดับได้ หวั่นพลังงานในอนาคตไม่พอ
สวนดุสิตโพล เผยคนกรุง-ปริมณฑลค่อนข้างมั่นใจ 43.45% ในการรับมือของรัฐบาลหากไฟดับช่วงเม.ย. แนะหามาตรการรองรับที่ชัดเจน สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องป้องกันเร่งด่วน และหาแหล่งไฟฟ้าสำรอง หวั่นอนาคตพลังงานไทยจะไม่เพียงพอ อีีกไม่นานก็หมดไป...เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2556 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ระบุว่า จากกรณีพม่าแจ้งหยุดส่งก๊าซธรรมชาติ ระหว่างวันที่ 4-12 เม.ย.นี้ เพื่อซ่อมบำรุงแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติยาดานา ที่มีปัญหาทรุดตัว ทำให้จำเป็นต้องปิดระบบก๊าซทั้งหมดเป็นผลให้หลายฝ่ายเริ่มวิตก หวั่นว่าไฟฟ้าในประเทศไทยจะดับทั้งประเทศ ขณะเดียวกันกระทรวงพลังงาน ได้มีการเตรียมพร้อม และซ้อมแผนปฏิบัติการฉุกเฉิน และขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันประหยัดไฟให้มากที่สุด  จึงได้สอบถามความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล  จำนวน 1,226 คน ระหว่างวันที่ 20-23 ก.พ.โดยอันดับ 1 ประชาชนมองว่า เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลควรเร่งหาทางป้องกัน จะต้องเตรียมความพร้อมและหามาตรการรองรับที่ชัดเจน 58.12% อันดับ 2 ถ้าไฟดับจริงกลัวว่าจะเกิดความวุ่นวาย ภาคธุรกิจต่างๆ และประชาชนทั่วไปได้รับความเดือดร้อน 27.52% อันดับ 3 อยากให้ประเทศไทยมีแหล่งพลังงานของตนเองที่เพียงพอ ไม่ต้องพึ่งพาประเทศอื่น 14.36%อย่างไรก็ตาม หากไฟดับจริง พบว่าอันดับ 1 ประชาชนค่อนข้างมั่นใจในการรับมือของรัฐบาล 43.45% เพราะกระทรวงพลังงานเข้ามาดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง มีการเตรียมการและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ รัฐบาลน่าจะควบคุมสถานการณ์ได้  เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล ฯลฯ อันดับ 2 ไม่ค่อยมั่นใจ 36.86% เพราะประเทศไทยมีการใช้ไฟฟ้าปริมาณมากขึ้น  เมื่อเกิดข้อผิดพลาดอาจควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ฯลฯ อันดับ 3 ไม่มั่นใจ 10.88% เพราะรัฐบาลไม่มีแผนรองรับที่ชัดเจน ทั้งกระทรวงพลังงาน กฟผ.ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก่อนฯลฯ อันดับ 4 มั่นใจมาก 8.81% เพราะเชื่อว่ารัฐบาลได้เตรียมการรับมือไว้แล้ว เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรง ฯลฯทั้งนี้ รัฐบาลควรเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร โดยอันดับ 1 ระบุสั่งการลงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิต เพื่อเตรียมรับมือและมีมาตรการป้องกันในเรื่องนี้โดยเร่งด่วน 51.40% อันดับ 2 ณรงค์ ปชส.ให้ประชาชนและทุกภาคส่วนช่วยกันประหยัดไฟ ประหยัดพลังงานตั้งแต่ตอนนี้ พร้อมแนะวิธีการรับมือกรณีไฟดับ ไฟตก 33.18% อันดับ 3 ติดตามข้อมูลข่าวสารจากประเทศพม่าอย่างต่อเนื่องและแจ้งให้ประชาชนได้ทราบอย่างทั่วถึง 15.42% ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อันดับ 1 มีมาตรการรองรับหรือเตรียมหาพลังงานสำรองเพื่อมาทดแทนให้กับประชาชน 51.67% อันดับ 2 ให้ความรู้ คำแนะนำและแจ้งเตือนประชาชนให้ช่วยกันประหยัดไฟ /เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม 31.45% อันดับ 3 เฝ้าระวังและติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง รายงานผลให้กับรัฐบาลได้รู้ความคืบหน้าตลอดเวลา 16.88%ขณะที่ผู้ประกอบการ ภาคอุตสาหกรรม ควรรับมือดังนี้ อันดับ 1 มีมาตรการรองรับหรือเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ แหล่งผลิตไฟฟ้าสำรอง การป้องกันอุบัติเหตุต่างๆ  ถ้าเกิดไฟดับ ไฟตกจริง / เข้มงวดเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัย 53.98% อันดับ 2 ให้ความร่วมมือกับภาครัฐอย่างจริงจัง ลดกำลังการผลิต ลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีการหยุดส่งก๊าซ  28.79% อันดับ 3 จัดเตรียมเวรยาม พนักงานหรือเจ้าหน้าที่อยู่ประจำการณ์ในช่วงที่ไฟฟ้าอาจจะดับลงได้ 17.23% ส่วนวิธีการรับมือของประชาชน อันดับ 1 ติดตามข่าวสารอย่างมีสติ ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป 53.83% อันดับ 2 ทำตามคำแนะนำของภาครัฐ /เตรียมอาหารแห้ง ถังแก๊ส เทียน ตะเกียง ไฟฉาย ไว้ในยามฉุกเฉิน 26.63% อันดับ 3 ให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ช่วยกันประหยัดไฟ ใช้ไฟฟ้าเท่าที่จำเป็น 19.54%นอกจากนี้ มองว่า อนาคตพลังงานของไทย อันดับ 1 อาจไม่พอใช้ ไม่เพียงพอต่อความต้องการ อีกไม่นานก็หมดไป 46.85% อันดับ 2 ควรหาพลังงานสำรองหรือพลังงานอื่นๆ มาทดแทน 21.44% อันดับ 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะรัฐบาลจะต้องรณรงค์ให้คนไทยทุกคนรู้จักการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด /ใช้เฉพาะที่จำเป็น 19.92% อันดับ 4 จะต้องมีการควบคุมการใช้ไฟฟ้าในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ 11.79%.

ข่าวพระฉาวทำคนสงขลา 30.9% หมดศรัทธาแต่ยังคงทำบุญ

ข่าวพระฉาวทำคนสงขลา 30.9% หมดศรัทธาแต่ยังคงทำบุญ
หาดใหญ่โพล เผยคนสงขลาส่วนใหญ่จะไปร่วมกิจกรรมวันมาฆบูชาเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียน พบนิยมทำบุญด้วยดอกไม้ธูปเทียนใช้งบ 100-300 บาท ไม่สนข่าวทางลบเกี่ยวกับพระสงฆ์ ส่วนพฤติกรรมการใช้ไอที-เน็ตของสงฆ์มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยค่อนข้างใกล้เคียง ส่วนหนึ่งมองไม่ใช่กิจสงฆ์...เมื่อวันที่ 24 ก.พ. หาดใหญ่โพล สำนักวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับการร่วมทำกิจกรรมและการทำความดีในวันมาฆบูชา ประจำปี พ.ศ. 2556 จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนใน จ.สงขลา จำนวน 814 คน พบว่า ประชาชนที่มีความรู้เกี่ยวกับที่มา และความสำคัญของวันมาฆบูชามีสัดส่วนที่สูงกว่าผู้ที่ไม่รู้ โดยทราบว่าวันมาฆบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าสอนโอวาทปาติโมกข์ (ศีลของพระสงฆ์) ต่อหน้าพระสงฆ์ 1,250 รูป ร้อยละ 68.3 และทราบว่าในวันมาฆบูชาพระพุทธเจ้าสอนให้งดเว้นทำความชั่ว ทำแต่ความดี และทำจิตใจให้ผ่องใส ร้อยละ 71.9 ทั้งนี้ วันมาฆบูชาปีนี้ประชาชนคิดว่าจะไปร่วมทำกิจกรรมที่วัดเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนจากร้อยละ 73.2 เป็นร้อยละ 77.1 โดยเฉพาะประชาชนในวัยเรียนที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี จะไปทำกิจกรรมที่วัดเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากร้อยละ 67.0 เป็นร้อยละ 81.0 ส่วนประชาชนในวัยอื่นๆ จะไปทำกิจกรรมที่วัดลดลงเล็กน้อยในกลุ่มวัยหนุ่มสาวอายุ 21-35 ปี จะไปทำกิจกรรมที่วัดลดลงจากร้อยละ 77.6 เป็นร้อยละ 74.0 วัยผู้ใหญ่ อายุ 36 ปีขึ้นไป ลดลงจากร้อยละ 78.1 เป็นร้อยละ 72.9 ขณะที่ผู้ที่ไปวัดส่วนใหญ่จะไปกับพ่อแม่หรือญาติพี่น้อง ร้อยละ 55.8  ไปกับคนรัก ร้อยละ 21.7 ไปกับเพื่อน ร้อยละ 11.3 และไปคนเดียว ร้อยละ 10.4 ส่วนกิจกรรมที่นิยมปฏิบัติในวันมาฆบูชาปีนี้ เวียนเทียน ร้อยละ 65.9 ใส่บาตร ร้อยละ 47.8 สวดมนต์ฟังเทศน์ที่วัด ร้อยละ 37.2 ส่วนกิจกรรมที่นิยมปฏิบัติน้อยที่สุดคือ สวดมนต์เจริญสมาธิที่บ้าน ร้อยละ 9.7 สำหรับการทำบุญที่ประชาชนนิยมมากที่สุดคือ ทำบุญด้วยดอกไม้และธูปเทียน ร้อยละ 74.3 ทำบุญด้วยเงินทอง ร้อยละ 53.8  และทำบุญด้วยการถวายอาหารคาว-หวาน ร้อยละ 32.4 สำหรับค่าใช้จ่ายที่ใช้สำหรับทำบุญอยู่ในช่วง 100-300 บาท มากที่สุด ร้อยละ 39.3 รองลงมา น้อยกว่า 100 บาท ร้อยละ 33.5 และมากกว่า 300 บาท ร้อยละ 27.2 นอกจากนี้ พบว่าประชาชนครึ่งหนึ่งใช้งบประมาณใกล้เคียงกับปีก่อน ร้อยละ 49.5 ใช้งบประมาณมากขึ้น ร้อยละ 30.3 และใช้งบประมาณน้อยลง ร้อยละ 20.2  ส่วนประชาชนร้อยละ 22.9 ที่ไม่ไปวัดในวันมาฆบูชา มีเหตุผลเรียงตามลำดับสามลำดับแรก คือ ไม่ว่าง ร้อยละ 45.5 ไม่มีคนไปเป็นเพื่อน ร้อยละ 16.9 และมีปัญหาด้านการเงิน ร้อยละ 12.9 ต่อกรณีเกิดข่าวในทางลบกับพระภิกษุ-สามเณรบ่อยๆ ประชาชนส่วนใหญ่ เห็นว่า ไม่มีผลต่อทัศนคติ และการประพฤติปฏิบัติตามแนวพุทธของตนเอง ร้อยละ 72.0 แต่พบว่าข่าวในทางลบกับพระภิกษุ-สามเณรมีผลทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งมีความต้องการสนทนาธรรมกับพระสงฆ์น้อยลง ร้อยละ 34.8 และมีความศรัทธาโดยรวมต่อพระสงฆ์ลดลงด้วย ร้อยละ 30.9 นอกจากนี้ ความเห็นของประชาชนต่อการใช้เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตของพระสงฆ์ เรียงตามลำดับสามลำดับแรก คือ ประชาชนเห็นว่าเป็นช่องทางเผยแพร่ธรรมะที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย ร้อยละ 56.5 เห็นว่าเป็นเหตุให้พระสงฆ์แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้ ร้อยละ 49.2 เห็นว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ร้อยละ 42.0 และเห็นว่าทำให้เสียเวลาในการปฏิบัติธรรม ร้อยละ 30.0.

แก๊งยาบ้าชักปืนยิงแหกด่าน-ตร.สาหัส รวบได้1หนีรอด2

แก๊งยาบ้าชักปืนยิงแหกด่าน-ตร.สาหัส รวบได้1หนีรอด2
แก๊งค้ายาบ้าเหิมเกริมชักปืนยิงตำรวจโคราชสาหัส ขับรถแหกด่านหลบหนี ตำรวจตามไล่ล่าตามรวบได้ 1 เป็นหญิง สารภาพ 1 ในคนร้ายเป็นอดีตสามี ที่ยังร่วมทำธุรกิจไม่เปิดเผยด้วยกัน  เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 24 พ.ย.56 มีรายงานว่า ขณะที่ พ.ต.ท.เฉลิมศักดิ์ ไชยณรงค์ศักดิ์ สวญ.สภ.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา นำกำลังตำรวจไปตั้งด่านบูรณาการยาเสพติดตรวจค้นรถกระทำผิดกฎหมายที่ถนน มิตรภาพ บริเวณใต้สะพานลอยเยื้อง สภ.คลองไผ่ ขาเข้า กทม. ก็ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จาก พ.ต.อ.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รอง ผบก.นครราชสีมา ว่าจะมีรถปิกอัพยี่ห้อมิตซูบิชิไทรทันสีดำ หมายเลขทะเบียน บบ 6581 สระบุรี ขนยาเสพติดผ่านมา จึงสั่งการให้ตำรวจจับตาดูจนในเวลาต่อมา พบรถคันดังกล่าวขับมาถึงโดยมีชาย 2 คน และหญิง 1 คนนั่งมาในรถ ซึ่งเมื่อคนในรถมองเห็นด่านตำรวจจึงจอดรถที่ข้างทางแล้วโยนกระเป๋าหนังสีดำทิ้งลงในป่า เจ้าหน้าที่เห็นเช่นนั้นจึงวิ่งเข้าหาเพื่อทำการตรวจค้น แต่ชาย 1 ใน 2 ได้ชักปืนไม่ทราบขนาดออกมากระหน่ำยิงไปที่กลุ่มตำรวจจำนวนหลายนัด กระสุนถูกเข้าที่เหนือราวนมด้านขวา บริเวณใต้ไหปลาร้าของ ด.ต.มนูญศักดิ์ พลจันทึก ผบ.หมู่งานจราจร สภ.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จนล้มลง จากนั้นรถปิกอัพคันดังกล่าวได้เร่งเครื่องแหกด่านตรวจไปทาง อ.ปากช่อง อย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงรีบนำร่างที่โชกเลือดของ ด.ต.มนูญศักดิ์ ส่ง รพ.สีคิ้ว และแพทย์เห็นว่าอาการสาหัสจึงส่งต่อไปที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจสอบกระเป๋าที่คนร้ายโยนทิ้ง พบว่าภายในมีอาวุธปืนสั้น ขนาด .22 บรรจุอยู่ 1 กระบอก กระสุนขนาดเดียวกันอีกจำนวน 66 นัด และเงินสดจำนวน 17,000 บาท จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน จากนั้น พ.ต.ท.เฉลิมศักดิ์ ได้วิทยุขอความร่วมมือจาก พ.ต.อ.ธนาวุฒิ เคหะเจริญ ผกก.สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้ช่วยสกัดจับคนร้าย ซึ่งทันทีที่ทราบเรื่อง พ.ต.อ.ธนาวุฒิ ได้สั่งการให้ตำรวจตั้งจุดสกัดที่บริเวณหน้า สภ.ปากช่อง พบรถของคนร้ายขับผ่านมาด้วยความเร็วจึงส่งสัญญาณเรียกให้จอด แต่คนร้ายกลับเลี้ยวรถหลบหนีเข้าไปในซอยข้างธนาคารธนชาติ สาขาปากช่องซึ่งเป็นซอยตันและเมื่อรถวิ่งไปถึงสุดซอย คนร้ายได้จอดรถทิ้งไว้แล้วพากันวิ่งหนีเข้าป่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงวิ่งไล่และสามารถจับกุมคนร้ายเป็นหญิงสาวได้ 1 คน ทราบชื่อภายหลัง น.ส.สุกัญญา หรือเปิ้ล ศรีเจริญ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 112 หมู่ 19 บ้านโนนนารี ต.ปากช่อง ส่วนชายอีก 2 คนได้อาศัยความมืดหลบหนีไปได้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง สภ.คลองไผ่ และ สภ.ปากช่อง ได้สมทบกำลังกันปิดล้อมตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้า แต่ก็ยังไม่พบตัวคนร้ายจากการตรวจค้นในรถปิกอัพ เจ้าหน้าที่ตำรวจพบปืนยาวอัดลม 1 กระบอก ยาบ้าจำนวน 1,407 เม็ด และยาไอซ์บรรจุในถุงพลาสติกจำนวน 2 ถุง ถุงแรกน้ำหนัก 0.51 กรัม ส่วนอีกถุงน้ำหนัก 0.96 กรัม จึงควบคุมตัว น.ส.สุกัญญา ส่งให้ พ.ต.ต.บวร สมบัติธีระ สารวัตรเวร สภ.ปากช่อง ดำเนินคดี จากการสอบสวน น.ส.สุกัญญา ให้การรับสารภาพว่า ผู้ที่หลบหนีไปคือคนหนึ่งเป็นคนขับรถ เป็นชาวบ้าน ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง เป็นคนขับรถ ส่วนอีกคน เป็นอดีตสามีตนเอง อายุ 29 ปี ซึ่งมีบุตรด้วยกัน 1 คน แต่เลิกรากันไปประมาณปีเศษแล้ว แต่ยังทำธุรกิจค้ายาบ้าด้วยกัน ก่อนเกิดเหตุได้พากันไปซื้อยาบ้าจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน (สปป.ลาว) เพื่อมาส่งให้ลูกค้าที่ อ.ปากช่อง แต่เมื่อขับมาถึงด่านตรวจ สภ.คลองไผ่ เห็นตำรวจตั้งด่านและทำท่าจะเข้าจับกุม อดีตสามีจึงชักปืนออกมายิงใส่กลุ่มตำรวจจน ด.ต.มนูญศักดิ์ ได้รับบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ยิงตำรวจ ไม่ทราบว่าขนาดเท่าไรและคนร้ายได้โยนทิ้งระหว่างหนีตำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ติดตามหาของกลางและตัวคนร้ายทั้ง 2 เพื่อนำมาดำเนินคดีต่อไป ล่าสุด เมื่อเวลา 08.30 น. พ.ต.อ.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รอง ผบก.นครราชสีมา ได้เดินทางมาสอบปากคำผู้ต้องหาด้วยตนเอง เบื้องต้นตำรวจได้แยกดำเนินคดี เป็น 2 ท้องที่ คือ สภ.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว ดำเนินคดีมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยผิดกฎหมายและขัดขืนการจับกุม พยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ส่วน สภ.ปากช่อง ดำเนินคดีมีอาวุธปืนและยาเสพติดไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย.

Blog Archive