Sunday, February 10, 2013

ขอทางเท้าให้ชาวบางนา

ขอทางเท้าให้ชาวบางนา
               ใครเดินทางไปปากน้ำ สมุทรปราการ จากบางนาไปตามถนนสุขุมวิท ก่อนเข้าตัวเมืองปากน้ำ จะเห็นสะพานลอยตรงข้ามวิทยาลัยสารพัดช่างสมุทรปราการ เยื้องๆ กับสำนักงานสรรพสามิตจังหวัดสมุทรปราการ สะพานลอยนี้เป็นป้ายรถเมล์และอยู่ใกล้กับท่ารถสองแถวสาย กม.36 ซึ่งเป็นรถโดยสารสาธารณะที่ผ่านจุดสำคัญและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสมุทรปราการ นั่นคือ เมืองโบราณ สถานตากอากาศบางปู และนิคมอุตสาหกรรมบางปู บริเวณท่ารถสองแถว สาย กม.36 ก็ต้องมาต่อรถที่บริเวณนี้กันทั้งนั้น                เมื่อต้องเดินลอดใต้สะพานลอย จะพบช่องแคบ กว้างไม่เกิน 1 ฟุต ฝั่งหนึ่งเป็นบันไดสะพานลอย อีกฝั่งเป็นทางเท้าหน้าอาคารพาณิชย์ ที่เจ้าของเทพื้นคอนกรีตหน้าร้านที่ติดกับทางเท้าสูงเกือบถึงเอว จะเดินผ่านก็ต้องตะแคงตัวค่อยๆ กระดื๊บๆ ไป เพราะช่างคับแคบซะเหลือเกิน หากเป็นคนอ้วนบอกได้คำเดียว...หมดสิทธิ์ผ่าน                เดินเลยมาอีกนิด ถึงตอม่อสะพานลอย ที่สร้างใหญ่โตเป็นฐานบัวประดับเสาตอม่อสะพาน ใหญ่จนทำให้กินพื้นที่ทางเดินเท้าเข้ามาอีก                ทีมงาน "เครือข่ายชุมชนคนบางนา" ได้สอบถามผู้ที่สัญจรไปมาในพื้นที่ตรงนี้ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เดินผ่านบริเวณนี้ลำบากมาก คนอ้วนหรือคนตัวใหญ่ไม่สามารถผ่านได้ ต้องลงไปเดินบนถนน ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกรถเฉี่ยวชน อีกทั้งตอนนี้ก็มีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายแบริ่ง-สมุทรปราการ ผู้รับเหมาโครงการกั้นพื้นที่บริเวณเกาะกลางถนนเพื่อก่อสร้างโครงการ ทำให้ถนนแคบลง รถก็เยอะ การจราจรหนาแน่น ทำให้เสี่ยงต่อการถูกรถเฉี่ยวชน และไม่ว่าคนที่ลงมาจากสะพานลอย หรือคนที่เดินมาตามทางเดินเท้า มาถึงบริเวณนี้หากมีคนเดินสวนมาต้องหยุดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผ่านไปก่อน ไม่สามารถเดินสวนกันได้                นอกจากนี้ช่วงเวลาเร่งด่วนและช่วงเทศกาลงานประจำปีของจังหวัดสมุทรปราการ อย่างเช่น งานนมัสการองค์พระสมุทรเจดีย์ ตัวเมืองปากน้ำมีการออกร้านจำหน่ายสินค้า จะมีประชาชนนับหมื่นคนเดินทางมาเที่ยวและซื้อสินค้า บริเวณนี้ก็จะเป็นปัญหาในเรื่องการเดินทางเท้าอย่างมาก เดินได้เพียงแถวเรียงหนึ่ง หากเดินสวนทางต้องลงไปเดินบนถนน                นายวิเชียร เอกมณี บอกว่า ใช้เส้นทางนี้เป็นประจำ ทุกครั้งที่ผ่านบริเวณนี้จะรู้สึกขัดข้องใจ ไม่เข้าใจคนที่คิดโครงการสร้างสะพานลอยนี้ว่าคิดได้อย่างไร เพราะช่องแคบตรงนี้ ความกว้างไม่น่าเกิน 1 ฟุต ทางตรงนี้เกิดจากความร่วมมือสร้างสรรค์ระหว่างเทศบาลที่ตกแต่งสะพานลอยซะใหญ่โต จนทำให้เบียดบังทางเท้า และอีกฝ่ายก็คือเจ้าของร้านที่อยู่ริมทางเท้า เทพื้นคอนกรีตหน้าร้านที่ติดกับทางเท้าสูงขึ้นไปเกือบถึงเอว แต่จะว่าเจ้าของร้านก็ไม่ได้ เข้าใจว่าเป็นพื้นที่ของเขา                นางสมพร บอกว่า วันนี้มาติดต่อราชการที่ศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ และต้องข้ามสะพานลอยนี้เพื่อต่อรถสองแถวสาย กม.36 เดินทางกลับบ้านแถวนิคมอุตสาหกรรมบางปู เมื่อข้ามสะพานลอยลงมาด้านล่าง และเดินไปท่ารถ เห็นทางเดินเป็นช่องทางแคบมาก ประกอบกับเป็นคนอ้วนทำให้เดินผ่านไม่ได้ ต้องลงไปเดินบนถนน กลัวถูกรถเฉี่ยวมาก                พนักงานร้านถ่ายเอกสารริมทางเท้า บอกว่า อาคารพาณิชย์บริเวณนี้สร้างมานานแล้ว ก่อนที่จะสร้างสะพานลอย ส่วนพื้นคอนกรีตที่สูงเกือบถึงเอวนั้น ไม่ทราบว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไร และเพราะอะไรจึงเทพื้นสูงขนาดนี้ เนื่องจากมีมาแต่เดิม ตั้งแต่สร้างอาคารพาณิชย์แล้ว ส่วนตัวเป็นเพียงผู้เช่าจึงไม่ทราบ                ป้าตุ๊ก ขายอาหารตามสั่งบริเวณดังกล่าว บอกว่า ขายของที่นี่มากว่า 20 ปีแล้ว ตั้งแต่ยังไม่มีสะพานลอย ตึกแถวบริเวณนี้มีมาก่อนจะสร้างสะพานลอย เห็นปัญหานี้มายาวนานแล้ว แต่ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาแก้ไข   ............................................. (ขอทางเท้าให้ชาวบางนาและปากน้ำเดินด้วย : คอลัมน์ชุมชนคนบางนา)

พิชัยเร่งฟื้นฟูทรัพยากรพร้อมดันสร้างอาชีพ

พิชัยเร่งฟื้นฟูทรัพยากรพร้อมดันสร้างอาชีพ
               พิชัย บุณยเกียรติ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า การบริหารงานของ อบจ.กว่า 3 ปีที่ผ่านมานั้น ได้ให้ความสำคัญทุกส่วน โดยเฉพาะเน้นถึงเรื่อง “อบจ.24 ชั่วโมง” และ “อบจ.ส่วนหน้า” มาขับเคลื่อน ซึ่งถือเป็นการทำงานเชิงรุก โดยเฉพาะให้มีเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยฝ่ายบริหารประจำอำเภอถึง 23 คน ประจำ 23 อำเภอ                  “3 ปีเศษที่ผ่านมากับการทำงานจะต้องเน้นในเรื่องการทำงานยุทธศาสตร์ให้หนัก โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ในด้านอาชีพ การทำงานที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงควรจะอยู่ที่ 10 ปี แต่ 4 ปีใช่ว่าจะสูญเปล่า ตลอดทั้ง 7 วันไม่เคยหยุดทำงาน การเปลี่ยนแปลงของเมืองไปสู่สิ่งที่ดีกว่าหรือความเจริญก้าวหน้า”                 ชาวนครศรีธรรมราชยังรอคอยหลายเรื่อง เช่น เรื่องอาชีพ ประมงชายฝั่ง ที่ทรัพยากรฟื้นกลับคืนความสมบูรณ์มาอย่างมาก โดยเฉพาะอบจ.ได้เร่งสร้างความเข้มแข็งการปกป้องทรัพยากรจากการลักลอบทำประมงจากประเทศเพื่อนบ้าน อีกอาชีพคือชาวนา อบจ.กำลังสนใจในเรื่องการเอาน้ำขึ้นมาแปลงนาเนื่องจากแหล่งน้ำอยู่ต่ำกว่าพื้นนา โดยได้ตั้งกลุ่มชาวนา 10 กลุ่มในพื้นที่ 2 แสนไร่ กลุ่มละ 2 หมื่นไร่ เพื่อจัดแบ่งใช้พลังงานไฟฟ้านำเอาน้ำเข้าสู่แปลงนา เร็วๆ นี้จะเห็นถึงความชัดเจน ชาวนาจะมีจุดแข็งที่สำคัญคือการปลอดสารพิษ เป็นเกษตรอินทรีย์ อีกส่วนคือความเข้มแข็งในอาชีพยางพารา ที่ อบจ.กำลังพยายามสร้างโรงงานยางพาราในจุดสำคัญๆ รวมทั้งโรงงานคอมปาวด์ จะสามารถดึงเอาความเข้มแข็งของเสถียรภาพและความมั่นคงของราคากลับมา รวมทั้งการจัดทำศูนย์การค้าสินค้าโอท็อปและผลผลิตไม้ผลต่างๆ ของนครศรีธรรมราช                 นายก อบจ.กล่าวเสริมว่า ด้านการกีฬา การท่องเที่ยว เป็นเรื่องที่ผูกพัน อบจ.มีความเข้มแข็งจนสามารถจัดตั้งเป็นกองงานขึ้นมาได้อย่างเต็มรูปแบบ สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างผลงานกีฬาเยาวชนที่ 4 ของประเทศ กีฬาแห่งชาติอยู่ที่ลำดับ 11 รวมทั้งเรื่องของสุขภาพที่ส่งเสริมให้มีสุขภาพดี และเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยว เป็นเมืองการกีฬา เมืองท่องเที่ยว เมืองแห่งการศึกษาเรียนรู้                 และที่สำคัญคือความมั่นคงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากภาวะสิ่งแวดล้อมถูกทำลายทั้งจากธรรมชาติ และฝีมือของมนุษย์เป็นเหตุให้เกิดปัญหา ความสำคัญด้านการฟื้นฟูพิทักษ์สิ่งแวดล้อมจะต้องมีส่วนร่วมกันทุกฝ่ายโดย อบจ.เป็นแกนหลักเนื่องจากมีความพร้อมด้านงบประมาณและจุดเด่นในเรื่องของความร่วมมือ                 “ปะการังเทียม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสร้างแหล่งอาหารทางทะเล โดยก่อสร้างแหล่งปะการังเทียมเพิ่มเติมตลอดแนวชายฝั่งทะเล ทำความสะอาดซ่อมแซมปะการังเทียมที่มีอยู่ให้มีสภาพที่เหมาะต่อการอยู่อาศัยของสัตว์น้ำ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ เพิ่มปริมาณสัตว์น้ำในบริเวณแนวชายฝั่งอ่าวไทย และรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ ทุกปี อบจ.จะมีงบประมาณในการจัดทำปะการังเทียมอย่างน้อยปีงบประมาณละ 5 ล้านบาท เพื่อวางแนวปะการังที่ประสบความสำเร็จมากนับแต่ อ.หัวไทร ไปจนถึง อ.ขนอม ตลอดชายฝั่งของนครศรีธรรมราช"                 นายกพิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า องค์กรเครือข่ายชุมชนทุกภาคส่วน เป็นกำลังหลักในการฟื้นฟูและร่วมกันปลูกป่าทุกปี โดยดำเนินการให้ความรู้ สร้างจิตสำนึกให้แก่เยาวชน ชุมชน และต้องให้ความสำคัญกับการผลิตพลังงานทดแทน พลังงานทางเลือก โดยดำเนินการจัดสร้างโรงงานต้นแบบการผลิตไบโอดีเซล เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนจากปาล์มน้ำมัน เพื่อลดการใช้และนำเข้าน้ำมันดิบ สร้างพลังงานจากขยะและสนับสนุนการผลิตพลังงานทดแทนจากชีวมวล น้ำ ลม และแสงอาทิตย์ ซึ่ง อบจ.กำลังประสานงานเรื่องของโรงไฟฟ้าชุมชนที่ใช้พลังงานน้ำโดยรณรงค์ให้ชุมชนทุกภาคส่วนร่วมกันประหยัดพลังงาน และหันมาใช้พลังงานทดแทนกันมากขึ้น      .................................... ('พิชัย บุณยเกียรติ'เร่งฟื้นฟูทรัพยากรพร้อมดันสร้างอาชีพ : คอลัมน์เปิดใจผู้นำท้องถิ่น)                            

ฝ่าเส้นทางหฤโหดมุ่งสู่ภูพยัคฆ์

ฝ่าเส้นทางหฤโหดมุ่งสู่ภูพยัคฆ์
               ทีมงาน"ท่องโลกเกษตร" ไปถึงวัดพระธาตุเขาน้อย ก่อนตะวันหลบยอดดอยเพียงเล็กน้อย ผู้ที่นับถือพุทธศาสนาบอกว่า ต้องไปนมัสการพระธาตุเขาน้อยให้เป็นศิริมงคล ก่อนที่เราจะลุยพื้นที่เกษตรที่สูงในวันรุ่งขึ้น เพราะพระธาตุเขาน้อย เป็นพระธาตุเก่าที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2030 สมัยเจ้าปู่แข็ง ถือเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของน่านอีกแห่งหนึ่ง  องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ เป็นศิลปะพม่าผสมล้านนา ห่างจากตัวเมื่อน่านไปทางทิศตะวันตกราว 2 กิโลเมตร                  ภายในบรรจุพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดชฯ ระหว่างปี พ.ศ. 2449-2454 โดยช่างชาวพม่า พร้อมกับสร้างวิหารในสมัยนี้เช่นกัน จากนั้นจึงไปหาที่พัก                 อรุณวันใหม่เราออกจากตัวเมืองน่าน ฝ่าม่านหมอกหนาทึบตลอดเส้นทางที่กำหนดไว้ว่า เราจะวนเป็นวงกลม ออกจากเมืองน่านวนไปทางเส้นทางน่าน-ปัว ผ่าน อ.ท่าวังผา เข้าสู่ปัว แวะกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านหนองบัว  ดูการทำสาหร่ายน้ำจืด "ไก"  ของดีโอทอป เมืองน่าน จากนั้นผ่านเส้นทางอันคดโค้งมุ่งหน้าสู่หมายปลายทางไปยังสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริภูพยัคฆ์ ตั้งอยู่ที่ท่ามกลางอ้อมโอบขุนเขาใหญ่น้อยที่บ้านน้ำรี  ต.ขุนน่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน แหล่งปลูกพืชผักปลอดสารพิษและไม้ผลเมืองหนาว ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด"หม่อนเบอรี่" เป็นหม่อนกินผลสด อัน รสเลิศ และแหล่งผลิตกาแฟอราบิก้า สมกับสโลแกนที่ว่า “เที่ยวภูพยัคฆ์ กินผักปลอดสาร ชมตำนานผู้กล้า ชิมกาแฟรสเลิศ พิชิตยอดภูพยัคฆ์”                 "ภูพยัคฆ์" ตั้งอยู่ที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตร ใกล้ใต้เทือกเขาผีปันน้ำ กั้นรอยตะเข็บระหว่างชายแดนไทย-ลาว หลักกิโลเมตรที่ 30  เดิมเคยเป็นที่ปลูกฝิ่นของชาวไทยภูเขาเผ่าลั๊วะ  กระทั่งปี 2546 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพื้นที่ป่าไม้บริเวณบ้านน้ำรี ต.ขุนน่าน ทรงเห็นว่าผืนป่ามีสภาพถูกบุกรุกถูกแผ้วถางเป็นภูเขาโล้น หรือป่าเสื่อมโทรมนับพันๆไร่ เพราะชาวไทยภูเขาเหล่านี้ทำไร่เลื่อนลอย และทนับวันจะถูกบุกรุกมากขึ้น  จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ ภูพยัคฆ์ขึ้นมา                  เพื่อส่งเสริมอาชีพ จัดทำเป็นแปลงสาธิตตัวอย่าง แนะนำการปลูกผักฤดูหนาว ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และขุดนาขั้นบันไดทดแทนการทำไร่เลื่อนลอย ให้ราษฎรได้เรียนรู้การใช้พื้นที่ดินให้เกิดประโยชน์ รวมถึงรู้จักการอนุรักษ์ดินและน้ำเพื่อการผลิตการเกษตรที่ยั่งยืน สร้างอาชีพ สร้างรายได้และทำให้ช่วยลดพื้นที่ในการทำลายป่าไม้ลงได้เป็นอย่างมาก โดยให้สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ ภูพยัคฆ์ เป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการเกษตรแผนใหม่ และการเกษตรที่ยั่งยืน รวมถึงการทำการเกษตรปลอดสารและครบวงจร ทั้งด้านการผลิต การแปรรูป การสร้างมูลค่าเพิ่มของผลผลิตและการจำหน่ายผลิตผลทางการเกษตร                 ทีมงานไปถึงสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ ภูพยัคฆ์ ใกล้จะมืดค่ำท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น  หลังจากที่ขับรถยนต์ผ่านเส้นทางอันหฤโหดทั้งคดโค้ง และขึ้นเขาลงเนินลูกแล้วลูกเล่า ตั้งแต่ออกจากพื้นที่เขต อ.ปัว ผ่านเส้นทางเฉียดชายแดนไทย-ส.ป.ป.ลาวที่ด่านห้วยโก่น วกไปทาง อ.เฉลิมพระเกียรติใช้เวลาราว 4 ชั่วโมง และในที่สุดทีมงานตัดสินใจนอนพักค้างที่เรือนรับรองภายในบริเวณที่ตั้งสถานีฯ มี คุณพายัพ  ขันตี เจ้าหน้าที่เกษตร ประจำสถานีฯให้การต้อนรับ โดยที่ไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า                  ในค่ำคืนที่หนาวเย็นเรามีเพื่อนใหม่ที่เป็นนักท่องเที่ยวที่ไปกางเต้นท์นอนค้างเพื่อดื่มด่ำความหนาวเหน็บบนยอดภูในยามดึก และแน่นอนที่สุดในค่ำคืนนั้น เรามีเรื่องราวที่พูดคุย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆนานากับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันหลายเรื่อง หลายเรื่อง หลานราว  รวมถึงคุณพายัพ ในฐานะเจ้าของบ้านด้วย ราวกับว่าเราเคยสนิทสนมมายาวนาน                 คุณพายัพ ผู้มากด้วยประสบการณ์ที่ใช้ชีวิตบนขุนเขาแห่ง เล่าว่า บริเวณที่ตั้งสถานีฯแห่งนี้มีเนื้อที่กว่า 500 ไร่ ครั้งหนึ่งในอดีตเป็นเขตอิทธิพลและการเคลื่อนของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จึงทำให้ภูพยัคฆ์สมัยนั้นกลายเป็นสมรภูมิรบระหว่างทหารไทยกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ม แต่หลังจากที่ตั้งสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริภูพยัคฆ์ แล้วชาวบ้านที่เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าลั๊วะที่อาศัยอยู่รอบๆ 4 หมู่บ้านด้วยคือบ้านน้ำรีพัฒนา หมู่บ้านน้ำช้างพัฒนา หมู่บ้านห้วยกานต์ และหมู่บ้านกิ่วจันทร์ หันมายึดอาชีพด้านการเกษตร                 ทุกวันนี้สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ ภูพยัคฆ์ จะหน้าที่หลักของสถานีฯ เน้นในการเป็นพี่เลี้ยงที่คอยให้วามรู้ด้านการเกษตรให้กับชาวบ้านที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น ปลูกหม่อนผลสดเบอรี่ ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีการส่งเสริมให้ราษฎรเพิ่มพื้นที่ปลูก เพราะหม่อนผลสดเริ่มได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันจะมีผลผลิตปีละราว 30 ตัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยทางสถานีฯจะรับซื้อหม่อนผลสด เพื่อนำส่วนหนึ่งที่เป็นผลผลิตเกรดเอจะจำหน่ายเป็นผลสด ตกเกรดมีการนำไปแปรรูปเป็นน้ำหม่อนเข้มข้น                 นอกจากจะเป็นหม่อนเบอรีแล้วยังมีการปลูกกาแฟพันธุ์อราบิก้า ให้ผลผลิตปีละราว 1.8 ตัน นำไปแปรรูปทำเป็นกาแฟคั่วภายใต้แบรดน์ "ภูพยัคฆ์"  อีกส่วนหนึ่งไปที่ร้านกาแฟสุดภูพยัคฆ์ อยู่ใกล้วิทยาลัยเทคนิคน่าน ขณะที่เกษตรกรอีกส่วนหนึ่งปลูกพืชผักปลอดสารจำพวกกะหล่ำปลีรูปหัวใจ คะน้าเห็ดหอม บล๊อคโคลี่  รวมทั้งการทำนาแบบขั้นบันได  ผลผลิตของชาวบ้านทั้งหมดทางสถานีฯจะเป็นผู้รับซื้อ เพื่อนำมาแปรรูป และส่งขายต่อ โดยมีตลาดหลักที่ร้านภภูพยัคฆ์ใน อ.เมือง จ.น่าน อีกส่วนหนึ่งส่งไปยัง จ.เชียงราย โครงการหลวงเพื่อสินค้าดอยคำ เป็นต้น                 ตอนสายของวันใหม่ ม่านหมอกเริ่มเจิดจาง เราอำลาภูพยัคฆ์มุ่งสู่ อ.บ่อเกลือ  เป้าหมายไปยังศูนย์พัฒนาภูฟ้า ตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชขสุดาฯสยามบรมราชกุมารี และหมู่บ้านชนเผ่า"มลาบรี" หรือที่พวกเขาเรียกตัวเองว่า "มะบลิ" ที่ยังวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้                  หากสนใจดูงานเกษตรที่สูงเมืองน่าน เพลิดเพลินความสวยงามของดอกภูคาป่าแห่งเดียวในสยาม รวมถึงเสี้ยวดอกขาว และสัมผัสวิถีชีวิตชนเผ่าลั๊วะ และมลาบรี ทางสมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทสไทย จัดโครงการเกษตรทัศนศึกษาไปยัง จ.น่าน ดินแดนที่ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขา  3 วัน 2 คืน ระหว่างวันที่ 1-3 มีนาคม 2556 สอบถามได้ที่โทร.0-2940-5425-6     .................................... (ฝ่าเส้นทางหฤโหดมุ่งสู่'ภูพยัคฆ์'ดูเกษตรที่สูงในอ้อมโอบขุนเขา : คอลัมน์ท่องโลกเกษตร : โดย...ดลมนัส  กาเจ)                 

จูดี้แจงดีเอสไอ ไม่เกี่ยวTORเหมาเจ้าสร้างโรงพัก

จูดี้แจงดีเอสไอ ไม่เกี่ยวTORเหมาเจ้าสร้างโรงพัก
พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ แสดงความบริสุทธิ์ใจ รุดยื่นเอกสารให้ข้อมูลดีเอสไอ ปัดไม่เกี่ยวข้องโครงการโรงพักทดแทน ด้านธาริต รับลูกจ่อสอบสวนต่อ กัน เพรียวพันธ์-อดุลย์ เป็นผู้เสียหาย...วันนี้ (10 ก.พ.56) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคเพื่อไทย และในฐานะอดีตรอง ผบ.ตร. ได้เดินทางมายื่นเอกสารหลักฐานให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ผู้แสดงความบริสุทธิ์ใจ ภายหลังถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดหาโครงการก่อสร้างอาคาร ที่ทำการสถานีตำรวจทดแทนจำนวน 396 หลัง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเป็นประธานคณะกรรมการกำหนดขอบเขตของงาน (ทีโออาร์) โดย พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าวภายหลัง การเข้ายื่นเอกสารหลักฐานว่า การกล่าวหาในลักษณะดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการให้ร้ายต่อผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. จึงมามอบเอกสาร ที่เกี่ยวข้องต่อดีเอสไอ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และขอยืนยันว่า จะไม่ฟ้องร้องใคร ด้านหากมีการตอบโต้ จากทีมของพรรคนั้น ตนก็ได้กำชับไปแล้วว่า อย่าไปพาดพิงใครขณะที่ นายธาริต กล่าวว่า จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานแล้ว ไม่พบว่า พล.ต.อ.พงศพัศ มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดขอบเขต ของงานทีโออาร์ ที่มีการจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคาร ที่ทำการสถานีตำรวจทดแทน แบบเหมารวมเจ้าเดียว ที่กำลังมีปัญหาแต่อย่างใด เพราะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นได้เห็นชอบยกเลิก การดำเนินการแยกการเสนอราคาเป็นรายภาค และอนุมัติให้จัดจ้างก่อสร้างทุกอาคารรวมกันในครั้งเดียว ไปเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2552อย่างไรก็ตาม กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะได้ทำการสอบสวนต่อไป รวมถึงจะมีการเชิญ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.คนปัจจุบัน มาสอบถามเพราะอาจจะเข้าข่ายเป็นผู้เสียหายในเรื่องดังกล่าวด้วย. 

3 ทรชนขืนใจ ด.ญ.14 ป่วยโรคร้าย ร้องปวีณาช่วย

3 ทรชนขืนใจ ด.ญ.14 ป่วยโรคร้าย ร้องปวีณาช่วย
แม่พาลูกวัย 14 ปี ป่วยโรคร้าย ร้องมูลนิธิปวีณาโดน 3 ทรชนข่มขืน ที่ขอนแก่น เพื่อติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด ล่าสุด ทราบเบาะแสว่าหนีมากรุงเทพฯ ขณะที่อีกราย แม่พาลูกเข้าขอบคุณมูลนิธิฯ หลังช่วยพ้นซ่องแอฟริกาใต้...วันที่ 10 ก.พ.56 ที่สำนักงานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เลขที่ 84/14 หมู่ 2 ถ.รังสิต-นครนายก(คลอง7) ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี นางหวาน (นามสมมติ) อายุ 47 ปี ชาวจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วย ด.ญ.แพรว (นามสมมติ) อายุ 14 ปี บุตรสาว เดินทางเข้าพบนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เพื่อนำหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น คดีร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี โดยใช้กำลังประทุษร้าย อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น มามอบให้กับมูลนิธิปวีณา เพื่อช่วยประสานงานติดตามจับกุมตัวคนร้ายนางหวาน กล่าวว่า ตนเองและสามีแยกทางกันตั้งแต่บุตรสาวมีอายุเพียง 2 เดือนเศษ เนื่องจากสามีหนีไปมีภรรยาใหม่ ตนจึงเลี้ยงลูกมาตามลำพัง จนกระทั่งลูกมีอายุได้ 2 ขวบ เริ่มมีอาการเจ็บป่วยบ่อยครั้ง จึงพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลชุมแพ จึงทำให้ทราบว่าที่ลูกป่วยบ่อยเพราะติดโรคร้าย จึงตัดสินใจให้หมอตรวจเลือดของตนด้วย ก็พบว่า ตนเองก็ติดเชื้อเช่นเดียวกัน หมอวินิจฉัยว่าลูกน่าจะติดเชื้อมาจากตนเอง เนื่องจากตนให้ลูกกินนมแม่ตั้งแต่คลอดออกมา หลังจากนั้นตนและบุตรสาวก็ได้เข้ารับการรักษาโดยการทานยาต้านเชื้อไวรัสเรื่อยมาจนกระทั่งปลายเดือนมกราคม 2556 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 17.00 น. ได้มี น.ส.เก๋ อายุ 16 ปี เพื่อนของบุตรสาว โทรศัพท์มาชักชวนให้บุตรสาวเดินไปหาที่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของตนประมาณ 200 เมตร โดย น.ส.เก๋ อ้างว่าแม่ไม่อยู่บ้านขอให้มาอยู่เป็นเพื่อน บุตรสาวตนเห็นว่าเป็นเพื่อนแถวบ้านจึงหลงเชื่อและเดินไปหา น.ส.เก๋ ที่บ้าน เมื่อไปถึงบ้านของ น.ส.เก๋ สักพักได้มี นายยุรนันท์ หรือโจ้ เจ๊กน้อย อายุ 28 ปี , นายเลิศชัย หรือต่าย โกมลวาทิน อายุ 30 ปี ตามมาสบทบในสภาพคล้ายคนเมาสุรา บุตรสาวตนจึงถาม น.ส.เก๋ ว่าพวกนี้เขามาทำไม น.ส.เก๋ ตอบว่าชวนมาอยู่เป็นเพื่อน เมื่อบุตรสาวตนเห็นว่ามีคนมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว จึงขอตัวกลับบ้าน แต่ น.ส.เก๋ ไม่ยอมให้กลับบอกว่าให้อยู่เป็นเพื่อนกันไปก่อน จากนั้นได้ได้มี นายนิกร หรือจุ้ย ศรีสวัสดิ์ อายุ 26 ปี เดินถือขวดเหล้าตามมาสมทบอีกคนหนึ่ง บุตรสาวจึงเดินออกมาจากบ้านของ น.ส.เก๋ เพื่อจะกลับบ้าน ขณะนั้นผู้ชายทั้ง 3 คนได้เดินตามออกมาและฉุดกระชากบุตรสาวเข้าไปที่กองฟางซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง ข่มขู่ไม่ให้ร้องขอความช่วยเหลือ จากนั้นนายจุ้ย ได้เข้ามาจับบุตรสาวตนถอดเสื้อผ้า บุตรสาวจึงได้ร้องขอไปว่าตัวเองติดโรคร้าย อย่าทำอะไรเลย แต่ก็ไม่เป็นผล นายโจ้ และ นายต่าย ได้ลงมือข่มขืนบุตรสาวตนโดยไม่สวมถุงยางอนามัย มีเพียงนายจุ้ย ที่ใช้นิ้วสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของตนเท่านั้น ขณะเกิดเหตุตนได้ขอให้ น.ส.เก๋ ช่วยเหลือ แต่ น.ส.เก๋ ยืนดูอยู่เฉยๆ โดยไม่ยอมให้การช่วยเหลือแต่อย่างใด ภายหลังจากเกิดเรื่อง บุตรสาวได้มาเล่าให้ตนเองฟัง ตนจึงพาเข้าแจ้งความที่ สภ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น โดยมี พ.ต.ท.สุฒิ โชคนาฮี พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ เป็นเจ้าของคดี แต่เนื่องจากตนเองกลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและเกรงกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย จึงได้ตัดสินใจพาบุตรสาวเข้าร้องทุกข์กับมูลนิธิปวีณาฯ ดังกล่าว ภายหลังรับแจ้ง นางปวีณา ได้ประสานไปยัง พ.ต.อ.จิรวัฒน์ คงกระพัน ผกก.สภ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ขอให้เร่งสอบปากคำผู้เสียหาย เพื่อติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยผู้เสียหายได้นำรูปคนร้ายพร้อมหมายจับมาให้สื่อมวลชนช่วยกันเผยแพร่ เพราะทราบจากแหล่งข่าวว่าคนร้ายทั้งสามได้หลบหนีเข้ามาอยู่ใน กทม. หากพบเบาะแสผู้กระทำผิดหรือทราบที่อยู่ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือมูลนิธิปวีณาฯ ได้ทันที ที่หมายเลข 08-1814-0244 ทางด้าน นางปวีณา กล่าวว่า จะเดินทางไปเยี่ยมบ้านของผู้เสียหายพร้อมกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพื่อหาทางช่วยเหลือ 2 แม่ลูก เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ค่อนข้างยากจนมาก พร้อมกันนี้นางปวีณา ได้ประสานไปยัง อธิบดีกรมคุ้มครอบสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เพื่อขอรับเงิน ในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญาด้วย หากพี่น้องประชาชนท่านใดอยากจะช่วยเหลือ 2 แม่ลูก สามารถร่วมบริจาคได้ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี โทร.08-1814-0244อีกหนึ่งกรณี นางสาวครีม (นามสมมติ) อายุ 20 ปี ผู้เสียหายที่ถูกล่อลวงไปค้าประเวณีที่แอฟริกาใต้  ได้เดินทางพร้อมนางประไพ (นามสมมติ) อายุ 47 ปี มารดา เข้าขอบคุณนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิฯ หลังจากที่นางปวีณาได้ช่วยประสานกรมการกงสุลจนช่วยเหลือกลับมาได้ สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมานางประไพ  ชาวจังหวัดลพบุรี อาชีพทำไร่ ได้เข้าร้องทุกข์กับมูลนิธิปวีณาฯ ว่า ลูกสาวชื่อ น้องครีม อายุ 20 ปี ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่แอฟริกาใต้ โดยเดินทางไปเมื่อวันที่ 26 ม.ค.56 อยากให้ นางปวีณา ช่วยพากลับบ้านด้วย โดยก่อนหน้านี้ลูกสาวทำงานเป็นสาวเสิร์ฟอยู่พัทยา โทร.มาหาบอกว่ากำลังจะเดินทางไปแอฟริกาใต้กับเพื่อนรุ่นพี่ ไม่ต้องห่วง เมื่อไปถึงจะมีคนมารับ จากนั้นอีก 2 วันต่อมา ลูกสาวโทร.มาหาบอกว่า ไปถึงแล้วถูกบังคับให้ขายตัว แต่ไม่อยากทำอยากกลับบ้าน ตนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร จึงเข้าร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือเมื่อรับเรื่องไว้แล้วนางปวีณาได้เร่งประสานกับนายธงชัย ชาสวัสดิ์ อธิบดีกรมการกงสุลอย่างเร่งด่วน จากนั้นเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ได้พานางประไพ ไปพบผู้อำนวยการกองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุลเพื่อให้ข้อมูลเพื่อดำเนินการช่วยเหลือโดยเร็วที่สุดต่อมาวันที่ 7 ก.พ. นางสาวครีมที่ถูกหลอกค้าประเวณีที่แอฟริกาใต้ได้รับการช่วยเหลือและเดินทางกลับประเทศไทย ด้วยเที่ยวบิน ทีจี 992 โจฮาย-กรุงเทพฯ หลังจากที่เดินทางกลับถึงบ้านเกิดได้ขอเข้าพบ นางปวีณา ประธานมูลนิธิฯ เพื่อขอบคุณที่ช่วยดำเนินการช่วยเหลือจนได้กลับบ้านนางสาวครีม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่ที่พัทยาและได้รู้จักกับนางมีนา อายุประมาณ 26 ปี ซึ่งเพื่อนเป็นคนแนะนำให้รู้จักอีกที ชักชวนให้ไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ประเทศแอฟริกาใต้ โดยจะได้ค่าตอบเดือนละ 5-6 หมื่นบาทต่อเดือน และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางเลย จึงตกลงใจเดินทางไป แต่เมื่อไปถึงกลับถูกบังคับให้ค้าประเวณี ซึ่งตนไม่อยากทำ อยากจะกลับบ้าน แต่ทางแม่ดา (ชาวจีนผู้ที่คอยดูแล) บอกว่าจะต้องหาเงินจำนวน 2 แสน 8 หมื่นมาให้เพื่อเป็นการไถ่ โดยอ้างว้าเป็นค่าตั๋วเครื่องบินและค่าจัดการในการเดินทางมาทำงาน ตนไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร เมื่อมีโอกาสจึงแอบโทรศัพท์ติดต่อกับแม่เพื่อขอให้ช่วยเหลือโดยด่วน ขณะที่อยู่ที่นั่นถูกบังคับให้อยู่ในห้องแคบๆ เหมือนห้องเก็บของ และต้องคอยทำงานบ้าน หุงข้าว กวาด ถู ต่างๆ ถือว่าลำบากมาก บางวันก็ไม่ได้กินข้าวเลย หรืออาจจะได้กินมื้อเดียว บางทีก็มีแค่ไข่ 2 ใบโดยให้ไปทำกินเอง ชีวิตนี้ไม่คิดจะไปอีกแล้ว อยู่บ้านเราและหางานทำดีกว่าถึงแม้ว่าจะได้เงินไม่มากก็ตาม บางครั้งคนที่เข้ามาหลอกลวงเราก็จะสร้างฝันให้เห็นว่าเป็นงานสบาย ได้เงินเยอะ แต่จริงๆ แล้วไม่ต่างกับนรกนางปวีณา กล่าวว่า ทุกวันนี้ยังมีหญิงไทยอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ต่างแดนและต้องทนทุกข์ทรมาน อยากจะประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนร่วมกันรณรงค์  เพื่อให้สังคมรับรู้ว่ามีเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นจริง.

สหรัฐฯป่วน พายุหิมะถล่ม เริ่มกักตุนอาหาร

สหรัฐฯป่วน พายุหิมะถล่ม เริ่มกักตุนอาหาร
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ รวมถึงนิวยอร์ก ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากพายุหิมะถล่มครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ธุรกิจและบ้านเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้ราว 650,000 ครัวเรือน ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นอย่างน้อย 7 ศพ...เมื่อวันที่ 10 ก.พ. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา รวมถึงมหานครนิวยอร์ก ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากพายุหิมะถล่มครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ตั้งแต่คืนวันศุกร์ 8 ก.พ. ส่งผลกระทบถึงการคมนาคมทั้งทางถนน รถไฟและทางอากาศ เที่ยวบินถูกยกเลิกหลายพันเที่ยวบิน ธุรกิจและบ้านเรือนราษฎรประสบปัญหาไม่มีกระแสไฟฟ้าใช้มากราว 650,000 ครัวเรือน ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งขึ้นอย่างน้อย 7 ศพ ทั้งนี้ พายุหิมะยังพัดถล่มนครบอสตัน รัฐแมสสาชูเสตต์ ทางการประกาศห้ามขับขี่ยวดยานพาหนะ เนื่องจากบางพื้นที่หิมะตกหนาถึง 2 ฟุต เช่นเดียวกับรัฐคอนเนคติกัต ทางการประกาศเรียกร้องให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน ส่วนที่เมืองพอร์ตแลนด์ ในรัฐเมน หิมะตกสูงถึง 81 ซม. ทุบสถิติหิมะตกมากที่สุดภายในครั้งเดียว ส่วนอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เพราะถนนลื่นและมองไม่เห็นเส้น ทางอุตุนิยมวิทยาสหรัฐฯ เปิดเผยว่า พายุหิมะเกิดจากลมหนาวขั้วโลกเหนือและกระแสน้ำอุ่นในทะเลปะทะกันรุนแรง ก่อให้เกิดความเร็วลมอยู่ที่ราว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจากการคำนวนคาดว่า ภายใน 1 ชั่วโมง หิมะจะตกท่วมสูงราว 10-15 ซม. แต่บางพื้นที่หิมะอาจตกท่วมสูงเกือบ 1 เมตร ทั้งยังเป็นไปได้ว่ากระแสลมแรงอาจทำให้เกิดน้ำท่วมบางพื้นที่แถบชายฝั่งและ พายุจะคงอยตลอดช่วง 2-3 วัน มีรายงานด้วยว่าหลายเมืองเริ่มขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากผู้คนต่างกันกักตุนอาหารและน้ำดื่ม จนถึงอุปกรณ์เครื่องมือช่าง เช่นเดียวกับสถานีบริการน้ำมัน รถยนต์และจักรยานยนต์ต่อคิวยาวเหยียดกักตุนน้ำมัน ขณะที่แคนาดาได้รับผลกระทบจากพายุหิมะครั้งนี้ด้วย.

Blog Archive