Wednesday, March 31, 2010

คุก5ปีเสี่ยอู๊ดฉ้อโกงเช่าพระสมเด็จเหนือหัว

คุก5ปีเสี่ยอู๊ดฉ้อโกงเช่าพระสมเด็จเหนือหัว



คมชัดลึก :พิพากษาจำคุก 5 ปี เสี่ยอู๊ด ฉ้อโกงประชาชนเช่าพระสมเด็จเหนือหัว โฆษณาลวงสร้างจากมวลสาร ดอกไม้พระราชทาน ขณะที่บริษัทไดมอนด์ฮิลล์ ฯ โดนปรับ 12,000 บาท






(31มี.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 807 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.2358/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสิทธิกร บุญฉิม หรือเสี่ยอู๊ด อายุ 38 ปี และบริษัทไดมอนด์ ฮิลล์ จำกัด โดยนายสิทธิกร บุญฉิม ในฐานะกรรมการผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1 - 2 ในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน , ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่จะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้า และโดยใช้ข้อความที่ใช้หรืออ้างอิงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์โดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมส่วนรวม ,ร่วมกันใช้เครื่องหมายราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต และเลียนเครื่องหมายราชการให้ปรากฏที่วัตถุหรือสินค้าใดๆ กรณีระหว่างเดือน พ.ย. - ธ.ค.50 จำเลยทั้งสอง ร่วมกันแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
 โดยโฆษณาเผยแพร่ว่าจัดสร้างพระเครื่องที่ใช้ชื่อว่า “ พระสมเด็จเหนือหัว” โดยสร้างจากมวลสารดอกไม้พระราชทานและผ้าไตรพระราชทานจากรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ เพื่อจัดสร้างพระคราวนี้เป็นการเฉพาะ และยังนำตราเครื่องหมายพระมหามงกุฎที่เป็นเครื่องหมายราชการของสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง และเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าแผ่นดินมาพิมพ์ประทับไว้ที่ด้านหลังพระสมเด็จเหนือหัวทุกองค์
 ศาลพิเคราะห์แล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหาย 50 คน เบิกความทำนองเดียวกันว่า ได้เช่าพระสมเด็จเหนือหัวจากสถานที่ต่างๆ เพราะหลงเชื่อในประกาศโฆษณาว่าสร้างจากดอกไม้พระราชทาน โดยมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ในพระราชบรมราชูปถัมภ์โดยมีพระมงกุฎประทับไว้ที่ด้านหลังพระสมเด็จเหนือหัว จึงทำให้เข้าใจว่าจัดสร้างจากพระมหากษัตริย์และสำนักพระราชวังซึ่งต้องการเช่าเพื่อนำไปบูชา แต่เมื่อมีข่าวว่าการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับสำนักพระราชวัง สำนักราชเลขาธิการ และพระมหากษัตริย์ จึงได้มาร้องทุกข์แจ้งความ
 ส่วนเนื้อหาในคำโฆษณาที่จำเลยทั้งสองจัดทำขึ้นอ้างว่า การจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัวโดยมูลนิธิ ดังกล่าว เพื่อนำเงินไปสร้างอุโบสถ “ สองกษัตริย์” ถวายเป็นพระราชกุศล และยังมีข้อความระบุว่า ใช้มวลสารดอกไม้พระราชทานนั้น พระวิสุทธาธิบดี พยานโจทก์ เบิกความว่า เป็นประธานมูลนิธิ ฯ มีความต้องการสร้างพระอุโบสถสองกษัตริย์จริง ที่วัดโสดาประดิษฐาราม จ.ราชบุรี และทำหนังสือลงลายมือชื่อให้จำเลยทั้งสองดำเนินการ ย่อมทำให้จำเลยทั้งสองเข้าใจว่ามูลนิธิ ฯ ให้หาเงินจัดสร้างอุโบสถ ซึ่งการโฆษณาด้วยข้อความว่าจะนำเงินไปสร้างอุโบสถนั้นจึงไม่เป็นการหลอกลวงประชาชน แต่การที่จำเลยนำข้อความว่าได้รับดอกไม้พระราชทาน เป็นมวลสารสร้างพระสมเด็จเหนือหัวตามที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์หลายฉบับลงวันที่ 1 ธ.ค.50 และมีตราพระมงกุฏเพื่ออ้างอิง ถึงพระมหากษัตริย์นั้นเพื่อให้เข้าใจว่าพระสมเด็จเหนือหัวที่จัดสร้างเกี่ยวข้องพระมหากษัตริย์ ทั้งที่จำเลยทราบดีว่า หากประชาชนเชื่อว่าการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัวนั้นเกี่ยวข้องพระมหากษัตริย์แล้วประชาชนย่อมเช่าพระดังกล่าวกว่า 1.6 ล้านองค์
 นอกจากนี้ยังมี ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า เชื่อว่าคำโฆษณาที่ว่ามวลสารได้มาจากดอกไม้พระราชทานนั้นน่าจะเกี่ยวข้องพระมหากษัตริย์ ทั้งที่ความจริงแล้วการใช้ดอกไม้พระราชทานไม่มีการขออนุญาตจากสำนักพระราชวัง และสำนักราชเลขาธิการ จึงเป็นการหลอกลวง ประชาชน โดยการปกปิดข้อความอันเป็นเท็จ ซึ่งการจัดสร้างและการตั้งชื่อพระ การออกแบบโฆษณา ล้วนเป็นความคิดของจำเลยทั้งสองทั้งสิ้น
 ขณะที่ดอกไม้พระราชทานนั้น ต้องเป็นดอกไม้ที่ใช้เฉพาะงานใดงานหนึ่งเท่านั้น การใช้หรือมอบให้ต่อไม่ถือเป็นดอกไม้พระราชทาน ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยได้ขอดอกไม้พระราชทานจากพระวิสุทธาธิบดี เมื่อปี 2549 แสดงว่าพระวิสุทธาธิบดี ไม่ได้มอบดอกไม้เป็นการจัดสร้างเป็นการเฉพาะ แต่จำเลยมีเจตนานำดอกไม้พระราชทานมาใช้โฆษณาในการจัดสร้างพระสมเด็จเหนือหัวว่าเกี่ยวข้องพระมหากษัตริย์ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบจึงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันโฆษณา หลอกลวงประชาชนด้วยข้อความอันเป็นเท็จว่า พรพะสมเด็จเหนือจัดสร้างด้วยดอกไม้พระราชทาน ทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเกี่ยวข้องพระมหากษัตริย์ จึงมีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามฟ้อง ส่วนที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นการกระทำทั้งหมด 921 กรรม ศาลเห็นว่า ระหว่างเดือน พ.ย. - ธ.ค.50 จำเลยทั้งสอง ได้กระทำการโฆษณาต่อเนื่องกัน แสดงว่าต้องการโฆษณาให้ประชาชน หลงเชื่อในคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว
 ส่วนความผิดฐาน ร่วมกันใช้ตราพระมหามงกุฏโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่สำนักราชเลขาธิการ และสำนักพระราชวังว่า จำเลยทั้งสอง ไม่ได้ขอพระราชทานอนุญาต ใช้เครื่องหมายพระมหามงกุฎและอุนาโลม การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งจำเลยที่ 1 เบิกความยอมรับว่าตรามงกุฏที่ใช้ด้านหลังพระสมเด็จเหนือหัวนั้น นำแบบมาจากตราที่ปรากฏเป็นสัญลักษณ์มูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ ฯ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าเกี่ยวข้องโดยตรงพระมหาฏัตตริย์ จึง ฟังได้ว่าตรามงกฏที่ประทับไว้ด้านหลังพระสมเด็จเหนือหัว เป็นการทำเลียนแบบขึ้นและนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง
 พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิด ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 47 , 48 และ 59 และ พ.ร.บ.เครื่องหมายราชการ พ.ศ.2484 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 , 343 และ 83 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้เรียงลงกระทงลงโทษ โดยให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 4 ปี และปรับบริษัท จำเลยที่ 2 จำนวน 10,000 บาท ฐานฉ้อโกงประชาชนอันเป็นบทหนักสุด และให้จำคุกจำเลยที่ 1 อีกเป็นเวลา 1 ปี และปรับบริษัท จำเลยที่ 2 จำนวน 2,000 บาท ฐานใช้และเลียนแบบเครื่องหมายราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 5 ปี และปรับบริษัท จำเลยที่ 2 รวม 12,000 บาท โดยให้จำเลยทั้งสอง ร่วมกันคืนเงินกับผู้เสียหายทั้ง 921 คนที่เช่าพระสมเด็จเหนือ แต่ไม่ให้เกินจำเลย 4 ,055,916 บาท
 ภายหลังฟังคำพิพากษานายสิทธิกร หรือเสี่ยอู๊ด ซึ่งไม่ได้รับการประกันตัวตลอดการพิจารณาคดี ยังคงมีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม










NEWSblank ข่าวออนไลน์
เรียนภาษาอังกฤษ | หอพัก | ดาวน์โหลด | vol6

No comments:

Post a Comment

Blog Archive